วันอังคาร, มกราคม 08, 2551

ฝนโบกขรพรรษ

วันนี้ คุยกับเพื่อนแล้วเอ่ยถึง ฝน ชนิดนี้ขึ้นมา เลยไปลองค้นๆข้อมูล แล้วเจอข้อมูลที่น่าสนใจ ขอนำมาเผยแพร่ต่อครับ จากเวปนี้ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tunyawat&month=12-2006&date=27&group=1&gblog=2





ฝนโบกขรพรรษและเซลสิ่งมีชีวิตต่างดาว



คุณอาจจะเคยได้ยินตำนานของฝนโบกขรพรรษ หรือ ฝนสีแดง จากตำนานเวสสันดรชาดก ซึ่งเรื่องราวมีอยู่ว่า"...เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จถึงนครกบิลพัสดุ์ตามพระราชประสงค์ของพระพุทธบิดาแล้ว พระพุทธองค์ได้เสด็จประทับบนพระพุทธอาสน์ และพระสงฆ์สาวกก็ขึ้นนั่งบนเสนาสนะ ณ โครธารามวิหารที่บรรดาศากยะวงศานุวงศ์ทั้งหลายจัดไว้ถวายรับรอง ขณะนั้นกษัตริย์ศักยราชทั้งหลายที่เป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้มีอายุมาก แล้วมีมานะทิฏฐิ ไม่ทำความเคารพพระบรมศาสดา ด้วยเห็นว่ามีอายุอ่อนกว่า พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะขจัดมานะทิฏฐิ ของพระญาติทั้งหลายเหล่านั้น จึงทรงแสดงพุทธานุภาพเสด็จเหาะขึ้นไปในอากาศ ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ เนรมิตที่เดินจงกรมแก้ว แล้วเสด็จจงกรมในที่นั้น ประหนึ่งจะโปรยธุลีละอองพระบาทให้ตกลงเรี่ยราย เหนือศิโรตม์แห่งประยูรญาติทั้งปวง มวลพระญาติ อันมีพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นต้น ทรงมีจิตเลื่อมใสหายทิฏฐิมานะ พากันถวายนมัสการ ฝนโบกขรพรรษ ก็บันดาลตกลงในสมาคมแห่งพระญาตินั้น ฝนโบกขรพรรษนั้น เมื่อตกลงมา ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ใดไม่ปรารถนาให้เปียกก็ไม่เปียก เม็ดฝนก็จะกลิ้งหล่นจากกายเหมือนหยาดน้ำในใบบัว..." [1]


หลังจากที่ผมได้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ใกล้เคียงกับ ฝนโบกขรพรรษในยุคปัจจุบันจากทางอินเตอร์เน็ทแล้ว ก็พบว่าได้มีปรากฎการณ์ฝนสีแดงนั้นเกิดขึ้นเป็นจำนวนหลายครั้งในรอบศรรตวรรษนี้ โดยที่เรียกกันว่า "red rain" หรือ "blood rain" (ฝนเลือด) ซึ่งตำนานของฝนสีแดงนั้นมีความแตกต่างออกไปตามแต่พื้นที่ ซึ่งบทความนี้จะนำเสนอตำนานของฝนสีแดงในพื้นที่ต่างๆ รวมไปจนถึงการพิสูจน์ฝนสีแดงโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และการค้นพบเซลส์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในฝนสีแดงนี้ และมากไปกว่านั้นนักวิทยาศาสตร์ยังได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า เซลส์ ในฝนสีแดงดังกล่าวเป็นของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวเป็นมาอย่างไร จะเกี่ยวข้องมากน้อยกับฝนโบกขรพรรษในเวสสันดรชาดกมากน้อยอย่างไรนั้น ก็ขอเชิญติดตามอ่านครับ

ฝนเลือดที่ เทนเนสซี

เวลาบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1841 ที่ไร่ยาสูบแห่งหนึ่งของรัฐเทนเนสซี มีรายงานแจ้งว่าฝนเลือดได้ตกลงมาห่าใหญ่หลังจากมีเมฆสีแดงลอยผ่านบริเวณนั้น ฝนเลือดตกกระจายกินพื้นที่ถึง 700 ตารางเมตรในไร่ยาสูบนั้น อย่างไรก็ดีในรายงานแจ้งไว้ว่าปรากฎการณ์ครั้งนี้เป็นฝนเลือดจริงๆ เนื่องจากมีเศษเนื้อและไขมันรวมไปถึงกลิ่นอันที่ไม่พึงประสงค์ปนมากับฝนเลือดนั้นด้วย จากเหตุการณ์ครั้งนี้คณะสำรวจของ ดร. ทรูส ได้ลงไปสำรวจภาคสนามและพยายามอธิบายลักษณะเหตุการณ์และคาดการณ์สาเหตุของการเกิดฝนเลือดครั้งนี้ ว่า "ลมได้หอบเอาซากสัตว์ขึ้นไปในอากาศและฟ้าได้ผ่าลงเข้าที่ซากสัตว์นั้น เนื่องจากความชื้นของมันทำหน้าที่เป็นสายล่อฟ้าได้อย่างดี "และได้ตีพิมพ์บทความวิชาการไว้ในนิตรยสาร American Science ฉบับที่ 41 ไว้ซะด้วย ซึ่งต่อมาภายหลังนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ก็ต้องหน้าแตกไปตามๆ กันเนื่องจากมีการเปิดเผยว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องแหกตาของทาสคนหนึ่งผู้ที่ซึ่งเอาซากสัตว์ไปโปรยไว้รอบๆ ไร่ยาสูบเพื่อแกล้งเจ้านายต่างหาก :D [2]

ฝนเลือดของจริงที่คาลาเบรีย

ราวห้าสิบปีต่อมา (ปี 1890) ทางตอนใต้ของอิตาลี นักอุตุนิยามวิทยาชาวอิตาเลี่ยนผู้หนึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ฝนเลือดที่ตกในพื้นที่แถบคาลาเบรียไว้ใน Popular Science News โดยอธิบายสาเหตุไว้ว่าฝนเลือดนั้นเกิดจาก "นกที่บินอพยพฝูงใหญ่ถูกลมที่รุนแรงฉีกร่าง ซึ่งเลือดที่กระเซ็นออกมาได้ตกลงมาเป็นด้านล่างเป็นฝนเลือด" อย่างไรก็ดีในช่วงเวลานั้นไม่มีรายงานว่ามีลมแรงใดๆ เกิดขึ้นในแถบนั้น แถมยังไม่มีรายงานการพบซากนกในบริเวณนั้นอีกต่างหาก สำหรับหลายๆ คน ปรากฎการณ์ฝนเลือดที่ตกลงมานั้นก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป [3]

ทฤษฎีฝนสีแดง

อย่างที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นว่าปรากฎการณ์ฝนสีแดงนั้นไม่ได้เกิดจากเลือดเพียงอย่างเดียว แต่ฝนสีแดงตามรายงานส่วนใหญ่ที่เกิดนั้น มักจะทรายและฝุ่นละอองที่ปะปนกับน้ำฝน ซึ่งในปี 1981 มีการวิเคราะห์น้ำฝนสีแดงที่ตกในบริเวณเนเปิลส์ (เมืองท่าของอิตาลี) และพบว่าสารเจือปนในน้ำฝนสีแดงประกอบไปด้วย silex (เศษฝุ่นจากหินแร่) ในอัตราส่วน 33%, อลูมิเนียม 15.5%, โครเมียม 1.0%, กรด คาร์บอนิค 9.0%, และที่เหลือก็เป็นพวกคาร์บอน ซึ่งสรุปว่าปรากฎการณ์ฝนสีแดงนั้นเกิดจากการละอองฝุ่นที่มาจากการประทุของภูเขาไฟ อย่างไรก็ดีทฤษฎีนี้ก็ถูกโต้แย้งในเวลาต่อมาเมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าปรากฎการณ์ฝนสีแดงอื่นๆ ไม่ได้มีสารเจือปนดังกล่าว และน้ำฝนสีแดงนั้นไม่มีการตกตะกอน ดังนั้นการที่น้ำฝนมีสีแดงน่าจะมาจากสาเหตุอื่นไม่ใช่ฝุ่นละอองจากในอากาศหรือภูเขาไฟ อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์ทุกคนค้นพบตรงกันว่า สารประกอบตัวหนึ่งในนั้นคือฝุ่นละอองจากอุกาบาต และพวกเขาสรุปว่าปรากฏการณ์ฝนสีแดงน่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างเมื่ออุกาบาตตกลงสู่พื้นโลก [4]

ความเชื่อเกี่ยวกับฝนสีแดง


ในประเทศอังกฤษมีความเชื่อกันว่าปรากฎการณ์ฝนสีแดงนี้เกิดจากสงครามของภูติที่อาศัยอยู่บนฟ้า(Sluagh) ซึ่งในหนังสือ The Fairy Tradition in Britain (ตำนานภูติในอังกฤษ) ได้กล่าวว่าผู้คนที่อยู่ตามภาคพื้นดินสามารถที่จะได้ยินเสียงตะโกน และเสียงอาวุธกระทบกันตลอดเวลาการสู้รบ ซึ่งฝนสีแดงที่ว่านี้คือหยาดเลือดของภูติดังกล่าวนั่นเอง [5]

ฝนสีแดงครั้งใหญ่ปี 2001และเซลส์ของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว

ปรากฏการณ์ฝนสีแดงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นเมื่อราวๆ สี่ปีที่แล้วที่เคราลาประเทศอินเดีย โดยที่ฝนสีแดงได้ตกต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนานถึงสองเดือน ซึ่งในปรากฎการณ์นี้มีรายงานว่าได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นก่อนที่ฝนสีแดงจะเทลงมา ซึ่งโดยเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่าปรากฏการณ์ดังกล่าว เกิดจากอุกกาบาติที่พุ่งเข้ามาในชั้นบรรยากาศและระเบิดขึ้นในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 25 กรกฎาคม โดยที่ฝุ่นละอองจากการระเบิดนั้นได้ทำให้เกิดสปอร์จำนวนมหาศาล ซึ่งสปอร์เหล่านั้นได้เข้าไปสะสมอยู่ในกลุ่มเมฆและทำให้น้ำฝนเป็นสีแดง อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ทำไมสปอร์จำนวนมหาศาลไม่ปลิวไปตามลมและตกไปสู่บ้านเรือนแถวนั้นบ้าง? [6]


น้ำฝนดังกล่าวได้ถูกรวบรวมและได้ถูกส่งข้ามโลกไปตรวจสอบที่แลปไมโครไบโอโลยีของมหาวิทยาลัย Sheffield ประเทศอังกฤษ สิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจยิ่งกว่าเพราะว่าสปอร์ดังกล่าวเป็นของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าบางทีแล้วการที่ดาวหางพุ่งชนโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน ได้นำเอาเซลของสิ่งมีชีวิตติดมาด้วยและเซลเหล่านั้นได้วิวัฒนาการมาเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลกปัจจุบัน [7]

ดร. หลุยส์ [9] นักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย ผู้ซึ่งเป็นหัวหอกในการค้นคว้าครั้งนี้ ได้กล่าวไว้ในเว็บไซท์ของเขาว่า เมื่อเอาน้ำฝนดังกล่าวไปตรวจสอบก็ได้พบเซลส์ของสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุคาร์บอนและอ๊อกซิเจนอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน อย่างไรก็ดีเขาไม่พบ DNA จากเซลส์ดังกล่าว ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้จะมี DNA เป็นส่วนประกอบ การที่ไม่มี DNA นั้นแสดงว่าเซลส์สิ่งมีชีวิตนี้ไม่ใช่ผลิตผลทางชีวภาพบนโลก อย่างไรก็ดี ดร.หลุยส์ก็ไม่ได้ฟันธงลงไปว่าแท้จริงแล้วเซลส์นั้นมาจากต่างดาวจริง เนื่องจากว่าไม่เคยมีการค้นพบหลักฐานของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวมาก่อน (อย่างดีก็แค่ฟอสซิลของแบคทีเรียจากดาวอังคาร [8]) แต่นี่ก็เป็นแนวคิดที่ดีที่สุดเกี่ยวกับปรากฎการณ์ฝนสีแดงในขณะนี้

คลิป http://video.google.com/videosearch?q=%22red+rain%22
สรุป

จากปรากฏการณ์ฝนสีแดงหลายๆ เรื่องที่ผมนำมาจากแหล่งต่างๆ นั้น ไม่มีส่วนคล้ายกับเรื่องฝนโบกขรพรรษจากเวสสันดรชาดกเลย แน่นอนว่าผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่เกี่ยวแต่เอามาใส่เฉยๆ เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้ได้อ่านและทำให้เนื้อเรื่องนี้น่าสนใจขึ้นน่ะครับ :D หวังว่าผู้อ่านทุกๆ คนจะได้ความรู้จากเรื่องนี้ไปในทุกๆ แง่ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา วิทยาศาสตร์ หรือความเชื่อตามท้องถิ่นนะครับผม

[1] http://www.soonphra.com/topic/pang/027.html
[2] http://www.strangemag.com/tennesseef...bloodfall.html
[3] http://paranormal.about.com/library/.../aa082602b.htm
[4] http://www.strangemag.com/scient.analys.redrain.html
[5] http://www.strangemag.com/redrain.littlepeople.html
[6] http://www.ufoindia.org/article_red_rain.htm
[7] http://observer.guardian.co.uk/world...723913,00.html
[8] http://www.lpi.usra.edu/lpi/meteorites/life.html
[9] http://education.vsnl.com/godfrey/



 




Last Update : 25 มีนาคม 2550 8:39:05 น.

10 ความคิดเห็น:

np np กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

LaTTe ★ กล่าวว่า...

ขอบคุณค่ะ

ビビ ネフェルタリ กล่าวว่า...

แปลกดีเน้ออ..

Hornbill B กล่าวว่า...

อืม...เจอฝนโบกขรพรรษท่าจะดีกว่าฝนสีแดงเนาะ

galazpop . กล่าวว่า...

เริ่ดนะเนี่ย เชื่อมตำนานข้ามโลก

TuanG Intoh กล่าวว่า...

โอ่โห้.. ความรู้ใหม่จริงๆ ค่ะ
ฝนโบกขรพรรษ ก็ไม่เคยได้ยิน แต่ตอนนี้ทราบแล้ว อิอิ

YUTTANA 59 กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

phyche phyche123 กล่าวว่า...

โอ้..เหลือเชื่อๆ

แต่ถ้าเป็น..ฝนโบกขรพรรษนั้น(ของพระพุทธเจ้า) เมื่อตกลงมา ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ใดไม่ปรารถนาให้เปียกก็ไม่เปียก เม็ดฝนก็จะกลิ้งหล่นจากกายเหมือนหยาดน้ำในใบบัว..... มีแบบนี้มั่งท่าจะดี

LangurGlass J กล่าวว่า...

ความรู้ทั้งนั้น ชอบๆ

Tam Naka กล่าวว่า...

เอาของดีมาให้อ่านอีกแล้ว อ่านจนเพลินเลย อิๆ