วันพุธ, มกราคม 23, 2551

เรื่องน่าขันของคนนอกวัด


พระมหาสมปอง อ่านแล้วขำดี เรื่องวัตถุดิบ
>
> ญาติโยมหลายท่านมักถามว่า
> " ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต
มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนัก
> แล้วเอาข้อมูล วัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา"
>
> อาตมาก็ตอบว่า หลักๆ เลยก็คือ การอ่าน นอกจากนั้นก็หนัง ละคร
ที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ
> พอตอบออกไปอย่างนี้ โยมก็สวนกลับทันที
> " ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน"
>
> อาตมาก็จะอธิบายไปว่า ดูเพื่อให้เท่าทันกิเลสจะได้สกัดมันถูก และที่สำคัญ
หากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้าใจ
> ตลอดจนไม่เท่าทันเรื่องราวทางโลกและ
จะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึกอินกันได้อย่างไร
> ซึ่งนอกจากการอ่าน การดูและการฟังแล้ว หลายวัตถุดิบที่นำมาสร้างเป็นมุกฮา
ก็ได้มาจากการพูดคุยกับ
> เหล่าโยมๆ นี่แหละ

> อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร.มา
> " พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองนะคะ"
> " หา อะไรนะ"
> " พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองค่ะ"
> " ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร"
> " อ๋อ ขอโทษค่ะ"
> หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ อาตมาก็กล่าวว่า
> " เจริญพร"
> " ค่ะ เจริญพรเช่นกัน"
> แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วย
>
> ข้างต้นก็คือ สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยม
จนถือว่าเป็นเรื่อง
> ปกติสำหรับอาตมาไปแล้ว หรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง
เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่น
> พอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที
> " ถวายสังฆทานค่ะ"
> พระบวชใหม่ด้วยความที่ยังจำบทสวดต่างๆ ไม่ค่อยคล่องนัก
จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู
> " ไม่ต้องค่ะ" โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่น
> " ดิฉันท่องได้ค่ะ เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ" เธอพนมมือขึ้น
ก่อนกล่าวว่า
> " อิมานิ มะยัง ภันเต สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ" ( ที่ถูกต้อง จะต้องเป็น
ภิกขุ สังโฆ)
> พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา
> " คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะ:-)ๆ นะหลวงพี่"
> อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า
> " คิกขุ แปลว่า น่ารัก สังโฆ แปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ
แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก"
> เท่านั้นแหละ พระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้งวันเลย
>
> แต่ก็มีบางกรณี ที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก
> อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพท์มา
> " หลวงพี่ขา ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ"
> " ไปไหนล่ะโยม"
> " ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ"
> โห นิม นต์พระไปตายถึงที่บ้านเลย อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพไปให้ได้
> แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่ ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม
>
> จากตัวอย่างที่อาตมาเล่าไว้ข้างต้น คุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน
แต่มันก็สะท้อน
> ให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่ง
ปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษ
> เท่านั้น เช่นงานบวช งานศพ ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน
ฆราวาสกับพระจึง
> สนทนากันไหลลื่น ไม่มีคำแปลกๆ หรือผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสุดุ้งแต่อย่างใด
> ซึ่งถ้าพูดถึงศัพท์แสงที่แสลงใจแล้ว ตอนไปบิณฑบาตอาตมาจะเจอบ่อยมาก
เช่นมีอยู่
> ครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงใสๆ แว่วขึ้นมา
> " แม่ๆ พระมาขอข้าว"
> " มาเยอะไหมลูก"
> " มา 2 อัน"
> โห เรียกอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์ นี่ถ้ามาเยอะๆไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ
> ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟังอาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอน
> เด็กๆ ด้วย
> " ถ้าพระกิน เรียกว่า ฉัน"
> " พระนอน เรียกว่?? จำวัด" (บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)
> " พระป่วย เรียกว่า อาพาธ"
> " พระตาย เรียกว่า มรณภาพ" (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ)
> " แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกว่าอะไรเอ่ย" คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง
> " เรียกคนมาดู"
> ; จบกัน

6 ความคิดเห็น:

seiko . กล่าวว่า...

^_^

Rada K. กล่าวว่า...

มาดู ด้วยคนค๊า กิๆๆๆ

RaBBiT LighTing กล่าวว่า...

ขำ.ขำ

Nathamon Mongkolsri กล่าวว่า...

อ่านแล้วยิ้มได้

我 ... กล่าวว่า...

ขำอะ มีอีกอะป่าว เอามาลงให้หมดนะค่ะ ชอบ

phyche phyche123 กล่าวว่า...

มาดูพระอาบน้ำอีกคน..อิอิ