วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 15, 2548

วิธีสลายความคับข้องใจ โดยคำสอนของท่านพุทธทาส


จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า


เขาเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา
เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร ด้วยกันกะเรา
เขาก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง
เขาก็มี ราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา
เขาก็ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพาน เหมือนเรา
เขาโง่ ในบางอย่าง เหมือนที่เรา เคยโง่
เขาก็ตามใจตัวเอง ในบางอย่าง เหมือนที่เรา เคยกระทำ
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง
เขาก็มักจะ กอบโกย และเอาเปรียบ เมื่อมีโอกาส เหมือนเรา
เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่าง ๆ เหมือนเรา
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตาย แทนเรา
เขาเป็นเพื่อน ร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา
เขาก็ทำอะไร ด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลัน เหมือนเรา
เขามีหน้าที่ รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจ ของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก(แม้ศาสนา) ตามพอใจ ของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะใช้สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะเป็น โรคประสาท หรือจะบ้า เท่ากับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี
เขามีสิทธิ ที่จะเป็น สังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น
เขามีสิทธิ แห่งมนุษยชน เท่ากันกับเรา สำหรับจะอยู่ในโลกนี้

ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น

วันจันทร์, ธันวาคม 12, 2548

ข้อคิดเห็นในการเลือกงานใหม่ .....จากลุงแอ๊ด


"การเลือกงานนั้น มันอยู่ที่ความเหมาะสมกับนิสัย

ของตนเอง เรารักงานอะไร เราเห็นความงานไหนมันมีอนาคต ส่วนใหญ่เราก็เลือกเอางานที่

เราคิดว่า เราทำได้ดีที่สุด


เวลาเข้าไปทำงานแล้ว เราก็ต้องเจอปัญหา ก็ต้องพิจารณาว่า "ปัญหาที่เราทนไม่ได้" นั้นมีอะไรบ้าง

เวลาลุงแอ็ดเปลี่ยนงานทีหนึ่ง ลุงแอ็ดก็จะเอาปัจจัยเหล่านี้มาคิด

1.งาน.......ต้องคุ้มกับเงินที่ได้รับ

หมายความว่า ต้องอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี เท่าทันเพื่อนรุ่นเดียวกัน ไม่จนอย่างเขียด มีสตางค์พอ

จะใช้แต่งงาน เก็บหอมออมริบไว้พอสมควร ใช้จ่ายได้คล่องพอสมควร แต่ไม่ควรจะไปเรียกร้อง

เอาจนเกินเหตุ เอามาก เอามาย เพราะอย่างนั้น เขาก็จะเรียกร้องให้เราทำงานจนบางทีมันก็สุด

ความสามารถของเราที่จะรับใช้เขาได้

2. งาน......ต้องมีโอกาสไต่เต้าและก้าวหน้า

หมายถึงงานที่เราจะเข้าไปรับผิดชอบ ตำแหน่งที่เราทำอยู่ ต้องทีโอกาสก้าวขึ้นอยู่ในตำแหน่ง

ที่ใหญ่กว่านี้ มีทางก้าวหน้ามากขึ้นไปจนกว่าเราจะเกษียร ลงพิจารณาดูว่า ตำแหน่งไหนที่มีโอกาส

ก้าวหน้ามากกว่ากัน และควรคำนึงถึงระยะยาวไว้ด้วย เพราะการที่เราจะย้ายไปทำที่องค์กรใด การย้าย

งานแต่ละทีมันมีเรื่องต้องคิดมาก และเสี่ยง ดังนั้น เลือกเอาที่เสี่ยงน้อยไว้ก่อน

3. งาน.......ต้องมีโอกาสได้เรียนรู้ และเพิ่มเติมความสามารถ

งานแห่งไหนเรามีโอกาสได้เรียนรู้มากกว่ากัน การเรียนรู้ในที่นี้ หมายถึงการได้ไปดูงานต่างประเทศ ได้

มีโอกาศศึกษางานเพิ่มเติม คนเราถ้าไม่มีการเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเลย ทำงานงาน มันก็เหมือนกับรถที่วิ่ง

แล้วกินแต่น้ำมัน แต่ไม่มีโอกาสได้เจอปั้ม ได้เติมน้ำมันเพิ่มเติมเลย สักวันหนึ่ง เมื่อน้ำมันหมด เราก็ไร้ค่า

4. งาน.......ต้องมีเกียรติ และได้รับการยอมรับจากนาย ลูกน้อง และสังคม

การทำงาน ลุงชอบที่จะปิดทองหน้าพระ คือทำแล้วมีคนเห็น คนชมเชย คนชอบ หรือไม่ชอบก็ติเตียน

มาเพื่อเราจะได้ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น การทำงานแบบปิดทองหลังพระนั้น ลุงว่ามันไม่ท้าทาย ทำไปก็ไม่มีคนรู้ คนเห็น

บางที เราอาจจะขี้เกียจ ไม่ทำ อยากนอนขึ้นมาก็ได้ ซึ่งจะทำให้เราบ่มนิสัยขี้เกียจ

ทำงาน มันก็เหมือนกับการท้าทายตัวเอง ต้องตะโกนให้โลกรู้ ว่า "ฉันจะทำไอ้นี่ให้สำเร็จ"

หลังจากเราตะโกนไปแล้ว เราก็ต้องทำ มิฉะนั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คนเขาจะโห่เอา ดังนั้น ทำให้เรามี Drive ในตัวเอง

โดยไม่ ต้องไปพึ่งพาอาศัยคนอื่นเขา

5. งาน.......ต้องมีความสุขกาย สบายใจในการทำงาน

ลองนึกดูว่า หากเราได้เงินเป็นแสน มีความก้าวหน้าในตำแหน่งดี มีโอกาสได้เรียนรู้เพิ่มเติม มีเกียรติ แต่

"ทำงานด้วยความลำบากใจ" ใน office มีแต่คนที่กลั่นแกล้งกัน คอยแทงข้างหลัง นินทาว่าร้ายกัน พอเราไม่

อยู่ก็ต้องคอยเป็นห่วงว่าเก้าอี้ของเราจะอยู่ที่เดิมหรือเปล่า หรือที่เรียกว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" .....

อย่างนี้ลุงก็ไม่เลือก สู้เราเอาเงินเดือนน้อยๆ ทำงานแล้วมีความสุข เพราะเราจะอยู่ในที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก

ลองที่ทำงานมีแต่ความทุกข์แล้ว ชีวิตนี้ก็เป็นทุกข์ทั้งชีวิต"



ปล. ผมก้อบมาจากระทู้ในพันทิพครับ


วันเสาร์, ธันวาคม 10, 2548

โฟกัสภาพ อย่างไรให้ โดน


ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันครับ
เป็นเหมือนสรุปความรู้ ที่อ่านผ่านๆตามาจากหลายที่ รวมถึงที่เคยลองทำด้วย
จะไม่มีรูปนะครับ เน้นอ่านแล้วจินตนาการตาม


เริ่มจากปรับตั้งค่าที่ตัวกล้อง



1. ปรับจากโฟกัสหลายจุดเป็นโฟกัสจุดเดียวตรงกลาง เพื่อความแม่นยำในการเล็งกำหนดจุดโฟกัส

ข้อดี กำหนดได้ชัดเจนว่าจะโฟกัสตรงไหน ไม่งั้นกล้องจะเลือกเองตามใจชอบ ซึ่งอาจไม่ใช่ที่ที่เราชอบ

ข้อเสีย ถ้าจะถ่ายภาพแบบให้จุดโฟกัสไม่อยู่กึ่งกลาง หลังจากเล็งโฟกัสแล้วต้องขยับหน้ากล้อง ให้ได้ตำแหน่งภาพ ตรงจุดนี้อาจทำให้หลุดโฟกัสได้

ปกติแล้ว ผมจะปรับตั้งให้เป็นโฟกัสจุดเดียวตรงกลาง ในโหมด P ส่วนเมื่ออยากใช้โฟกัสหลายจุด ก็ปรับไปใช้โหมด ออโต้ กล้องก็จะใช้ระบบโฟกัสหลายจุดมาแทน ให้เลยโดยอัตโนมัติ





2.อย่าลืม กดตั้งถ่ายมาโคร เมื่ออยู่ในระยะมาโคร ไม่งั้นจะโฟกัสไม่ได้
ระยะมาโครมีสองแบบ
แบบไม่ซูมเลย ก็สามารถจ่อกล้องเข้าไปใกล้ตัวแบบได้ในระยะ 1-10 เซนติเมตร แล้วแต่รุ่น
แบบซูมเต็มที่ แม้กดมาโครแล้ว ก็ต้องทิ้งช่วงห่างจากแบบไปสักช่วงหนึ่ง อาจจะ 30-40 เซน แล้วแต่รุ่น





3. ถ้าโฟกัสอย่างไร กล้องก้อยังจับไม่ได้สักที ลองแมนนวลโฟกัสดูครับ

แมนนวลแบบง่าย
ถ้าเน้นถ่ายใกล้คือ สั่งกล้องให้แมนนวลโฟกัสให้ใกล้สุด เช่น 5 เซนติเมตร แล้วใช้วิธีขยับกล้องเข้าหาตัวแบบแล้วมองผ่านแอลซีดีหาจังหวะที่ชัดที่สุด ให้ถ่ายเผื่อๆมาเยอะหน่อยครับ แอลซีดีอาจหลอกตาเราได้

ถ้าเน้นถ่ายไกล เช่นฟ้าสีฟ้า ก็แมนนวลให้เป็น โฟกัสอินฟินิตี้ไปสะ




4. โฟกัสแบบไม่ต้องโฟกัส ใช้สำหรับกล้องที่มีโหมดตั้งค่า custom ตามใจฉัน

ผมเรียกว่ากล้องทันใจใช้ในกรณี ถ่ายในที่มืดแสงน้อย (ใช้แฟลช) รึถ่ายภาพเหตุการณ์ ฉับไว ชนิดที่รอให้กล้องล้อคโฟกัสไม่ไหว

เคล็ดลับก็คือ ตั้งล้อคค่า โฟกัสไว้ที่ค่าคงที่ประมาณ 2.59 เมตร โดยตั้งค่าซูมไว้กว้างสุด
ผลที่ได้คือ ระยะโฟกัสที่ภาพออกมาแล้ว "พอรับได้" จะครอบคลุมตั้งแต่ช่วง 1.5 เมตร ไปถึง อินฟินิตี้

เรียกว่า เปิดกล้องปุ้บ ยกถ่ายปั้บๆๆๆ





5. จะรู้ได้อย่างไร ว่ากล้องโฟกัสได้แล้ว

1. ใช้ตามอง ว่าช่องโฟกัสสี่เหลี่ยม มันขึ้นสีเขียวไหม (เฉพาะรุ่น)
2. ใช้ตามอง ว่าส่วนที่เน้น เช่น เกสร ชัดหรือไม่ เพราะส่วนมากโฟกัสไปตกข้างหลังเป็นส่วนใหญ่
3. ใช้หูฟัง เสียงโฟกัสได้ กับไม่ได้ มันแตกต่างกันลองใช้หูช่วยในการโฟกัสได้ครับ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายกลางแดดเปรี้ยงๆ จอแอลซีดีมองลำบาก





6. แบบสีแบบไหนโฟกัสยาก และสีแบบไหนโฟกัสง่าย

แบบที่โฟกัสง่าย คือแบบที่มีความแตกต่างของสีหรือแสงชัดเจนเช่น ขาวกับดำ
ถ้าตัวแบบมี สี เดียวกลืนๆกันไป จะโฟกัสยากพอสมควร รึไม่ได้เลย
สีบางสีทำเอากล้องผม หลงโฟกัสไปเลย เช่น เหลือง แดง เป็นต้น

อย่างบางทีผมยกกล้องขึ้นถ่ายฟ้าโปร่งๆ ปรากฏว่า มันจับโฟกัสไม่ได้แฮะ เพราะฟ้าโปร่งเกินไปไม่มีสีที่ตัดกัน ทางแก้คือเล็งหาก้อนเมฆพอโฟกัสได้แล้วค่อยมาจัดมุมอีกที





7. รู้ไหมว่า เซนซอร์โฟกัสของกล้อง ชอบรูปทรงแบบไหน

ไปอ่านที่ไหนมาสักที่ เค้าบอกว่ากล้องดิจิตอลนี่อะ ชอบตัวแบบที่เป็น "เส้นตรง แนวตั้ง"
ยกตัวอย่างเช่น ลายของบาร์โค้ด กล้องจะชอบมากเพราะโฟกัสง่าย
บางเวปแนะนำถึงขนาดที่ให้ตัดบาร์โค้ดชิ้นเล็กๆติดกระเป๋ากล้องไว้
เวลาจะโฟกัสดอกไม้ แล้วโฟไม่ได้สักที ให้ถือบาร์โค้ด ไปวางเทียบ พอล้อคโฟกัสได้แล้วก้อเอาออก

เรื่อง กล้องดิจิตอลชอบตัวแบบที่เป็น "เส้นตรง แนวตั้ง" ผมเคยลองแล้วรู้สึกว่าจริงแฮะ ยกตัวอย่างเส้นขอบฟ้ารึอะไรสักอย่างที่เป็นเส้นแนวนอน บางทีโฟกัสยาก ผมก็จับกล้องหมุน 90 องศา ลองโฟกัสดู ปรากฏว่าได้แฮะ พอโฟกัสได้แล้ว ค่อยหมุนมาแนวเดิม





8. หลังรก โฟกัสยาก
ปัญหาที่พบอย่างนึงเวลาจ่อกล้องเข้าไปโฟกัสดอกไม้เล็กๆ ในดงไม้ ที่มีฉากหลังรกๆรึเขียวพรืดไปด้วยหญ้า คือ กล้องไปตกโฟกัสที่หลังรกๆแทน
ทางหลีกเลี่ยงอย่างกำปั้นทุบดิน คือ
- เปลี่ยนมุมกล้อง หาที่ๆ หลังไม่รก จุดโฟกัสจะได้ชัดเจน
- หมุนกล้อง หาสิ่งที่ เป็นเส้นตรงแนวตั้งให้กับกล้อง
- หาตัวแบบ ใกล้เคียงเพื่อใช้ล้อคโฟกัส แล้วค่อยกลับมาที่แบบ
- ใช้ ตัวช่วย บาร์โค้ด ชิ้นเล็กๆ
- แมนนวล โฟกัส ขยับเข้าๆออกๆ จนกว่าจะหนำใจ
- เนรมิตฉากหลัง เช่น เอาสมุดสีดำ ไปถือบังฉากหลังรกๆ
- ฉกตัวแบบออกมา เอามือจับตัวแบบ ดึงออกมาถ่ายที่ฉากหลังไม่รก ถ่ายเสร็จ ปล่อยเด้งกลับไปที่เดิม
- อื่นๆ ตามแต่จะจินตนาการ





9. ข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด เผื่อนึกอะไรออก
หลายครั้ง ที่เราโฟกัสว่าชัวส์ กลับมาเปิดกล้องดูแล้วพลาด พลาดทั้งรูปถ่าย เพราะโฟกัสผิดจุด หลุดโฟกัส และพลาดทั้งโอกาส ผ่านเลยไปแล้วไม่หวนกลับคืน

ดังนั้น อย่าประหยัดภาพถ่ายนะครับ (ดิจิตอล) มุมเดิมยิงไปเถอะ 4 -5 รูป เปลี่ยนมุม นิดนึงยิงไปอีก 4-5 รูป รวมแล้วเป็น 10-20 รูป

มันต้องมีสักรูปสิน่า ที่เข้าตากรรมการ เอ้ย ที่โฟกัสได้ถูกที่ถูกทาง ครับ ถ้ามีเวลามากพอ ถ่ายรูปเสร็จก็เช็ครูปดูตรงนั้นเลย จะได้ถ่ายซ่อมได้ทันทีครับ





10. ว่าแล้วว่า ลืมอะไร ข้อนี้ก็สำคัญครับ คือโฟกัสระยะได้แล้ว ต้องหยุดภาพให้นิ่งให้ได้ครับ เพราะภาพที่โฟกัสได้แต่ถ่ายออกมาเบลอเพราะ ภาพไม่นิ่ง ค่าก็เท่ากันกับหลุดโฟกัส

ทางที่พอแนะนำคือ
- ใช้ขาตั้งกล้อง (ส่วนมากไม่ต้องใช้)
- ตั้งค่า TV ความไวชัตเตอร์ ไว้ให้อย่าต่ำมากไป (ภาพที่มืด แก้ไขภาพได้ง่ายกว่าภาพที่ไหว นะครับ)
- ถ้าถ่ายโหมด p เป็นประจำ ลองตั้งชดชเยแสง ให้อันเดอร์สัก สองสต้อป -2/3 กล้องจะปรับค่าให้ไวขึ้นโดยอัตโนมัติและได้รายละเอียดภาพดีด้วย





11. แย๊บแล้วฟุตเวิค์กถอย เอ้ยไม่ใช่สิ โฟกัสแล้วถอย ตังหาก

อันนี้มักใช้เวลาถ่ายดอกไม้แล้วจะเน้นที่เกสรดอกไม้ หากเป็นเกสรสั้นๆ เล็กๆ บางๆ กล้องจะจับโฟกัสได้ยากมาก ส่วนมากโฟกัสจะไปตกอยู่ที่เงามืด รึ ลวดลายบนกลีบดอกแทน
พอถ่ายมา กลีบดอกก็ปรากฏลวดลายชัดสวยงาม แต่เกสรเบลอเล็กน้อยแต่พองาม

วิธีแก้ไข แบบลูกทุ่งก็คือ
1.ประมาณการระยะห่างของยอดเกสรกับกลีบดอก ที่จะเป็นฉากหลัง
2.โฟกัสให้แน่ใจว่าตกไปที่กลีบดอก หลังเกสร
3.เขยิบ กล้อง ถอยหลังออกมาเท่ากับ ระยะห่างของข้อ 1 (ยากหน่อย ประมาณ 1 จึ้ก)
4.กดชัตเตอร์แผ่วเบา
5.ลองใหม่อีกครั้งหนึ่ง วนจากข้อ1ยันข้อ4 จนกว่าจะพอแก่อำเภอใจ
6.รอคอยชมผลงานตัวเอง และจดจำระยะ 1 จึ้ก ไว้ให้ดี




12. โฟกัส แบบตีวัวกระทบชิ่งไปที่คราด ภาษาสนุกเกอร์เรียกว่าใช้บ๋อย

อันนี้หมายถึง โฟกัสไปที่ๆหนึ่ง เพื่อให้ที่นั้นสะท้อนภาพของแบบที่เราต้องการ เช่นโฟกัส กระจก ผิวน้ำ โลหะมันวาว หรือตาคน

อันนี้ผมมีสองแนวคิด ยังไม่มั่นใจ
แนวคิดที่ 1 ผมจะไม่ใช้โหมดมาโคร เพราะผมคิดว่าตัวแบบนั้นอยู่ไกลมาก เพียงแค่อาศัยการสะท้อนภาพมาที่กล้องเท่านั้น

แนวคิดที่ 2 คือใช้โหมดมาโคร เพราะสิ่งที่ผมจะดูนั้นอยู่ใกล้กล้อง เลยต้องใช้มาโคร (แล้วแบบมันจะชัดได้ไงฟระ งง)

สรุปว่า ไม่สรุป เอาเป็นว่าผมก็ใช้มาโครทุกที แต่ผมว่าแนวคิดที่ 1 ไม่น่าจะผิด เอาไว้ไปลองมาได้ผลจะบอก




13.กำหนดพื้นที่โฟกัส ให้แคบๆหรือกว้างๆ

อธิบายง่ายๆสมมุติว่า กล้องตั้งที่จุด 0 โฟกัสไปที่ เลข5ที่อยู่กลางแถวตัวเลขนี้ 1-10 (ลองจินตนาว่า เลข5คือเกสร เลข 1 2 8 9 คือกลีบดอก)

0.........1 2 3 4 5 6 7 8 9

ถ้าเราอยากโฟกัสให้ชัด ที่ 5 แต่เลขอื่นเบลอๆ ก็ปรับค่ารูรับแสง (โหมดAV) ให้กว้างๆ เช่น f 2.8

ถ้าเราอยากโฟกัสให้ชัด ที่ 5 และเลข 1-9 ก็ชัดด้วย ก็ปรับค่ารูรับแสง (โหมดAV) ให้แคบๆ เช่น f 8 หรือ 11

ค่าF จริงๆแล้ว มันเป็นเลขเศษส่วนนะคือ 1/2.8 1/8 ดังนั้นตัวเลขยิ่งมากค่ายิ่งน้อย (รูแคบ) แต่เวลามาใส่กล้องเค้าเอาเลขเศษออกไป




14.ทำความรู้จักกล้องตัวเองครับ

หลังจากลองภาคทฤษฎีและเทคนิคต่างๆไปแล้ว
ที่เหลือก็คือทำความรู้จักกล้องตัวเอง ลองถ่ายและจดจำว่ากล้องชอบแบบไหนถึงจะโฟกัสได้

ยกตัวอย่างเช่นกล้องผม เวลาโฟกัสมันจะมีกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆให้เล็ง แต่ปรากฏว่าภายใต้กรอบเดียวกันนี้ มุมแต่ละมุมจะมีความไวต่อการโฟกัสไม่เท่ากัน ถ่ายๆไปผมก็จะรู้ว่า มุมซ้ายล่างโฟกัสง่ายสุด ทีนี้พอจะโฟกัสอะไรที่เล็กๆ ผมก็เอามาไว้ตรงมุมนิยม มันก็โฟกัสได้ง่ายขึ้นครับ

ลองหามุมนิยมของกล้องคุณดูสิว่าอยู่มุมไหน


15.โฟกัสทีละหลายๆภาพ

ปัญหาอย่างนึงของกล้องออโต้โฟกัสที่โฟกัสยากคือ
ถ่ายไปทีนึงก็ต้องโฟกัสใหม่ครั้งนึง ถ้าหากว่าตัวแบบอยู่นิ่งๆก็ดีไป เผลอๆอาจใช้วิธีล้อคโฟกัสไปเลย

แต่ถ้าเป็นตัวแบบที่ไม่ค่อยนิ่ง หรือเป็นลักษณะเหตุการณ์ต่อเนื่อง การมามัวหาโฟกัสแต่ละครั้งอาจไม่ทันกิน

ทางแก้ก็คือการใช้โหมดการถ่ายรูปแบบต่อเนื่องครับ
ในโหมดนี้ให้กดชัตเตอร์ค้างไว้กล้องจะถ่ายไปเรื่อยๆ แชะๆๆ ตามความเร็วของโหมดกล้อง และตามจำนวนแชะที่กล้องกำหนดไว้

ข้อดีข้างเคียงของการใช้โหมดนี้คือ ลดการสั่นไหวอันเกิดจากนิ้วกดชัตเตอร์ เพราะแชะที่2 3 4 มันเกิดเอง

นั่นคือเหตุใดจึงเรียกว่าโฟกัสทีละหลายๆรูป เพราะโฟครั้งเดียวได้หลายรูปนั่นเอง




by Meng



วันพุธ, พฤศจิกายน 09, 2548

มีอะไรเข้ามาในชีวิตตั้งเยอะแยะ



ชีวิตคนแต่ละคน มีอะไรเข้ามาในชีวิตตั้งเยอะแยะ


ซึ่งหลายอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะอยากจำด้วยแหละ


บางอย่างเข้ามาแล้วก็ยังอยู่ บางอย่างเข้ามาแต่หายไป บางอย่างตั้งใจทำหาย




lose/lose 9/11/2005


วันเสาร์, ตุลาคม 15, 2548

วิกฤติคือโอกาส ขึ้นอยู่กับมุมที่จะมองจากใจคุณ


วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก
แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น


.....ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ
แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ .....
เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง


แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย

เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิดแม้จากระยะไกล
ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองตด้วยความหวาดหวั่น
รอคอยที่จะถูกทำโทษ พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง
แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
.....



หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก...
หนังสือคือความรู้

และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก.....
สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก

แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้
หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน !!

พ่อกลับนั่งลง
...
หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้

แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง
พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
ภาษาของแอนดี้เมื่ออายุสองขวบ.....



ต่อไปไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด
พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ
ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก
และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ
ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย....
เหมือนกับที่พี่ๆ

ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน

"
ว้าว...” ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ
?
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น

ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น
ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น
พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า


...’อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง
.......
ซึ่งนั่นก็คือ คนที่เรารัก
ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ


ลองมองย้อนดูตัวคุณเองในแต่ละวัน เหตุการณ์แบบนี้
เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ
เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร
เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ
และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า...
เดี๋ยวผมเทเองก็ได้นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก


น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน
......
เพราะอาหารมื้อนั้น ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว...

แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก

เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป...

ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ

และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารัก
และเอาใจใส่ผมมากเท่าใด....
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม
)
แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว

ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ
ทีนี้ตาผมมั่ง)


รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว


.....
แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ
สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน


แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก
เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก...


แล้วคุณละ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือยัง?


พจนานุกรมใจ


**น้อยใจ
อาการอ่อนแอของจิตใจที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ยามที่เกิดความต้องการให้คนเอาใจ
วิธีแก้ อย่าเอาแต่ใจ


**เจ็บใจ
อาการเป็นพิษของจิตใจที่ลามมาจากหาง เวลามีใครมาเหยียบมัน
วิธีแก้ ตัดหางทิ้งซะ อย่ายกหางตัวเอง


**ละอายใจ
อาการใฝ่ดีของจิตใจ ที่ออกมาชี้หน้าด่าเรา
ข้อแนะนำ เมื่อละชั่วได้ ก็ไม่อายแก่ใจ


**เสียใจ
อาการวูปทางจิตใจ เกิดจากความไม่มั่นคง
เพราะชอบเอาใจไปผูกเอาไว้กับสิ่งอื่น
วิธีแก้ ตัดใจซะสิ อย่าไปผูกมันไว้


**ใจหาย
อาการนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้ว
วิธีแก้ หายใจเข้าสิ หายใจลึกๆ แล้วจะเลิกใจหาย

**หลายใจ
อาการสืบพันธุ์ของจิตใจโดยการแบ่งตัว
นำไปสู่อาการน้อยใจแก่คนรอบข้างได้ในเวลาต่อมา
วิธีแก้ ระลึกไว้ มีแต่พวกอะมีบาที่ใช้วิธีแบ่งแบบนี้

**ทำใจ
อาการที่แปลกที่สุดของใจ ยิ่งทำมากเท่าไร ใจยิ่งว่างเท่านั้น
ข้อแนะนำ ทำทุกครั้ง ทำบ่อยๆ ค่อยๆทํา

วันจันทร์, กันยายน 19, 2548

ความจำเป็นที่แท้จริงของทีมเวิร์ก


Real Essence of Teamwork

คุณเคยสังเกตเห็นไหมว่า
ฝูงห่านมักบินในลักษณะที่เป็นตัวอักษรวี (V)
จากการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าเหตุใดฝูงห่านจึงต้องบินเช่นนั้น
--------------------------------------------------
ในขณะที่ห่านตัวหนึ่งกระพือปีก ห่านที่บินตามมาจะได้รับแรงยกเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การที่ฝูงห่านบินเป็นตัวอักษรวี (V) นั้น
จะทำให้ประสิทธิภาพการบินเพิ่มขึ้น 76% กว่าการบินเดี่ยวเพียงตัวเดียว
………………
คนที่เป็นส่วน 1 ของทีมซึ่งไปในทิศทางเดียวกัน
สามารถไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า
เพราะว่าคนเหล่านั้นมุ่งหน้าไปโดยอาศัยความไว้วางใจในเพื่อนร่วมทีมคนอื่น

--------------------------------------------------
หากห่านตัวใดตัว 1 เกิดบินหลุดจากฝูง
มันจะรู้สึกได้ทันทีถึงแรงต้านทานที่เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น มันจะรีบบินกลับเข้าฝูงอย่างรวดเร็ว
เพื่อจะได้ประโยชน์ในการบินเป็นฝูง
………………..
ถ้าเรามีไหวพริบเหมือนห่าน
เราจะมีการแบ่งปันข้อมูลกับบุคคลอื่นที่มุ่งหน้าไปยังที่ที่เดียวกับเรา
--------------------------------------------------
เมื่อห่านที่บินอยู่ข้างหน้ารู้สึกเหนื่อย มันจะบินไปอยู่ข้างหลัง
และให้ห่านตัวอื่นบินข้างหน้าแทน
………………..
เราต้องมีการแบ่งปันภาวะผู้นำ และผลัดเปลี่ยนกันในการทำงานหนัก
--------------------------------------------------
ฝูงห่านที่บินอยู่ข้างหลังจะส่งเสียงร้องเพื่อให้กำลังใจห่านที่บินอยู่ข้างหน้าให้รักษาระดับความเร็วต่อไป
………………
คำพูดชมเชยและกำลังใจ จะทำให้คนที่อยู่ในแนวหน้ายังคงมุ่งหน้าต่อไปได้
ท่ามกลางความกดดันและความอ่อนล้าที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน
--------------------------------------------------
ท้ายที่สุด หากว่าห่านตัวใดตัว 1 ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถบินร่วมฝูงได้
ห่านอีก 2 ตัวจะบินตามลงมาเพื่อช่วยเหลือและปกป้องห่านตัวที่บาดเจ็บ

จนกระทั่งห่านตัวนั้นหายดีหรือว่าตายไปแล้ว
ห่านทั้ง 2 ตัวนั้นจะเข้ากลุ่มกับฝูงห่าน
เพื่อจะตามหาฝูงห่านเดิมให้ได้ทัน
………………
หากเรามีสัญชาตญาณเหมือนห่าน เราจะยืนอยู่เคียงข้างคนอื่นๆ
ในช่วงเวลาที่ยุ่งยาก
--------------------------------------------------
หากคุณมีโอกาสได้เห็นฝูงห่านอีก จงอย่าลืมว่ามันเป็นรางวัล ความท้าทาย
และสิทธิพิเศษในการเป็นส่วน 1 ของทีม


Team : Together Everyone Achieve More

วันศุกร์, กันยายน 02, 2548

Put the Glass Down


Put the Glass Down
จงวางแก้วใบนั้นลง

A lecturer was giving a lecture to his student on stress management.
ขณะที่ครูกำลังสอนนักเรียนของเขาในหัวข้อการจัดการกับแรงกดดันและความเครียด

He raised a glass of water and asked the audience, "How heavy do you think this glass of water
is?"
ครูได้หยิบแก้วน้ำใบหนึ่งขึ้นมาและถามนักเรียนว่า "พวกเธอคิดว่าแก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไหร่"

The students' answers ranged from 20g to 500gm.
คำตอบของนักเรียนมีตั้งแต่ 20 กรัมถึง 500 กรัม

"It does not matter on the absolute weight. It depends on how long you hold it.
"มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่แท้จริงของแก้วว่าหนักเท่าไหร่
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเธอถือมันไว้นานเท่าใด

If I hold it for a minute, it is OK.
ถ้าครูถือมันไว้เพียงหนึ่งนาที ก็ไม่มีปัญหาอะไร

If I hold it for an hour, I will have an ache in my right arm.
ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งชั่วโมง แขนของครูก็จะปวด

If I hold it for a day, you will have to call an ambulance.
ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งวัน พวกเธอคงต้องเรียกรถพยาบาล ฮา...

It is the exact same weight, but the longer I hold it, the heavier it becomes."
แม้ที่จริงจะเป็นน้ำหนักเดียวกัน แต่ยิ่งฉันถือมันไว้นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น"

"If we carry our burdens all the time, sooner or later, we will not be able to carry on, the
burden becoming increasingly heavier."
ถ้าเราแบกภาระ(ความทุกข์ ความหนักใจ ฯลฯ)ของเราไว้ตลอดเวลา ไม่ช้าก็เร็ว
ภาระนั้นจะยิ่งหนักขึ้นจนเราจะไม่สามารถจะแบกมันไว้ได้อีก

"What you have to do is to put the glass down, rest for a while before holding it up again."
ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือ วางแก้วนั้นลงซะ พักสักระยะ ก่อนจะถือมันใหม่อีกครั้ง

We have to put down the burden periodically, so that we can be refreshed and are able to carry on.
เราจะต้องวางสิ่งเราแบกไว้ลงเป็นระยะ เราจึงจะสามารถฟื้นพลังขึ้นมาใหม่ และสามารถแบกมันได้อีกครั้ง

So before you return home from work tonight, put the burden of work down.
ดังนั้นก่อนเธอจะกลับบ้านในคืนนี้ จงวางภาระของเธอลง

Don't carry it back home. You can pick it up tomorrow.
อย่านำมันกลับไปบ้านด้วย เธอสามารถยกมันขึ้นมาใหม่ได้ในวันพรุ่งนี้

Whatever burdens you are having now on your shoulders, let it down for a moment if you can.
ไม่ว่าจะเป็นภาระใดก็ตามที่เธอแบกอยู่ในตอนนี้ หัดวางมันลงซะบ้างเถอะ

วันพุธ, กรกฎาคม 20, 2548

รายงานที่ดี


โปรดตระหนักว่ารายงานหนาๆ


มีผลน้อยต่อผู้ตัดสินใจ


เพราะ



ไม่มีใครอยากอ่าน

วันอังคาร, กรกฎาคม 19, 2548

การบริหารนาย

*นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์


1. จงเป็นนักฟังที่ดี คือต้องไม่ แกล้งฟัง (ทำท่าว่าฟัง แต่ไม่รู้เรื่อง) ต้องตั้งใจ และตีความหมายแท้จริงที่เจ้านายพูดให้ได้ สรุปความให้ได้ อย่ามัวประสาทเมื่อเจอเจ้านาย สบสายตาบ้าง (แต่อย่าตลอดเวลา) เมื่อเจ้านายพูดจบ อาจถามทวนเพื่อความแจ่มชัด (เท่าที่จำเป็น) จดข้อความที่จำเป็น(อย่าเอาแต่จด) และโปรดจำไว้ว่า เจ้านายเหมือนกันทุกคนคือ ไม่ชอบบอกซ้ำเรื่องเดิมบ่อยๆ


2. พูดตรงประเด็น กระทัดรัด เวลามีค่าสำหรับผู้บริหารทุกคน ใช้เวลาให้น้อยที่สุด เลือกเฉพาะที่สำคัญ พูดให้ตรงจุด ไม่อ้อมค้อม ชัดเจน หากทำรายงาน ควรจำกัดความยาวเพียง 1 หน้ากระ ดาษเป็นดีที่สุด การเขียนสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพนั้น แสดงว่าได้คิดและกลั่นกรองแล้ว


3. ใช้หลักการทูต ข้อเสนอต่างๆ ควรเปิดโอกาสให้เจ้านายได้เป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย ด้วยความภาคภูมิใจ สบายใจ (เราเองก็จะได้พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเสนอ) อย่าปฏิเสธข้อเสนอของเจ้านายทันทีทันใด เพราะอย่างน้อยท่านต้องคิดถึงข้อดีข้อเสียแล้ว ถ้าไม่เห็นด้วยจริงๆอาจจะลองเสนอว่าถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จะเป็นอย่างไร แต่อย่ามัวเกรงว่า เรื่องบางอย่างอาจจะกระทบเจ้านายให้ไม่พอใจ เพราะอาจเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของเจ้านาย ลูกน้องที่เต็มใจบอกเจ้านายอย่างสุภาพว่า ท่านลืมรูดซิบ ดีกว่าลูกน้องที่ชมกันตะพึดตะพือ อย่างไม่ลืมหูลืมตา


4. แก้ปัญหาด้วยตนเอง ทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ผู้บริหารเสียเวลา และเสียหัวสมองมากเท่ากับการคอยแก้ปัญหาให้ลูกน้อง


5. ส่งเสริมภาพพจน์ที่ดีของเจ้านาย ควรหาจุดเด่นของเจ้านาย และหาโอกาสส่งเสริมจุดเด่นเหล่านั้น อย่าทำให้เจ้านายเป็นตัวตลก หรือตัวโง่ (แม้แต่รู้สึก) บางครั้งอาจต้องยอมให้เครดิตแก่เจ้านาย แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของตนเอง เมื่อเจ้านายดีขึ้น เราก็มีโอกาสดีขึ้นด้วย


6. มองโลกในแง่ดี นักบริหารที่ประสบผลสำเร็จล้วนแต่มองโลกในแง่ดี อย่ามองทุกอย่างเป็นปัญหา แต่ให้มองเป็นสิ่งที่ท้าทาย เวลาพูดกับเจ้านาย ถึงผู้ร่วมงานจงพูดแต่สิ่งที่ดี แสดงถึงการเป็นคนที่ทำงานกับผู้อื่นได้


7. อย่าทำงานล่วงเวลา แต่จงทำงานก่อนเวลา การทำงานแต่เช้าบอกให้รู้ว่า ท่านกระหายที่จะทำงาน ในขณะที่ทำงานล่วงเวลาบอกให้รู้ว่า ท่านยังทำงานไม่เสร็จ


8. รักษาคำมั่นสัญญา เจ้านายเข้าใจในปัญหาอุปสรรคของลูกน้องเสมอ แต่เจ้านายไม่ปรารถนาที่จะฟังคำแก้ตัวเมื่องานไม่เสร็จตามเวลา


9. รู้จักเจ้านาย หาความรู้พื้นฐานของเจ้านายว่าเป็นอย่างไร ประวัติ นิสัยการทำงาน เป้าหมาย ในชีวิต ฯลฯ (เจ้านายชอบดูมวย ไปขอคำปรึกษาขณะที่เจ้านายกำลังลุ้นมวย ย่อมก่อให้เกิดความหงุดหงิดไม่มากก็น้อย)


10. อย่าใกล้ชิดเจ้านายมากเกินไป ความใกล้ชิดเกินไปจะทำให้ท่านตีเสมอเจ้านาย อาจเผลอทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เพื่อนร่วมงานก็อิจฉา เจ้านายเหมือนกับไฟ อยู่ไกลก็หนาว อยู่ใกล้เกินก็ไหม้

การพยายามทำให้นายรัก เจ้านายมองเห็นความดี ความสามารถของเรา ในการที่จะสร้างสรรค์งาน และไว้วางใจ มอบหมายงานสำคัญให้เราทำด้วยความเต็มใจ มีความสุขที่จะสนับสนุนงานของเราให้สำเร็จ โดยเจ้านายมีความมั่นใจว่า แท้จริงแล้วงานที่เราทำอยู่ ก็คืองานของเจ้านายนั่นเอง คือสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า การบริหารเจ้านายในที่นี้


คมคำคน


ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่

ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส

เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย

ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว

เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา

เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา

ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ .
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ .
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต
(เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)

เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

(สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ)

คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น

วันพุธ, กรกฎาคม 13, 2548

ปรัชญาว่าด้วยการขับขี่


-กันอุบัติเหตุ

     เมาไม่ขับ

     หลับอย่าไป

      ไม่มั่นใจอย่าแซง



-กันหลุดโค้ง

     อย่าแซงทางโค้ง



-กันฝน

     อยู่ใต้ฟ้ากลัวอะไรกะฝน



-กันชน

     อย่าจี้ตูดใคร และอย่าให้ใครจี้ตูด



-กันช้า

     ใช้หลักลมและน้ำ

      ลม พัดไปในที่โล่งๆเสมอๆ

      น้ำ ไหลลงไปในซอกทุกซอกที่ไหลได้

วันอังคาร, กรกฎาคม 12, 2548

ว่าด้วยความทุกข์


ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์


การส่งใจออกนอก เป็นสมุทัย


คนส่วนมาก ทุกข์เพราะความคิดของตนเอง


ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 เป็นทุกข์








(ปัญจขันธ์ 1 รูป 4 นาม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ



  1. รูป ๑ ก็คือมหาภูตรูป ทั้ง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประชุมเป็นร่างกายนี้ นี่เรียกว่ารูปขันธ์
  2. เวทนา ก็เวทนา ความรับอารมณ์ ความรู้อารมณ์ เวทนา แปลว่า ความรู้อารมณ์หรือรับอารมณ์ ทุกข์ สุข ไม่สุข ไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เรียกว่าเวทนา
  3. สัญญา ตาจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำสัมผัส ที่เราจำหมดทุกคน นี่แหละเรียกว่าสัญญา
  4. สังขาร ความคิดดี คิดชั่ว คิดไม่ดี คิดไม่ชั่ว
  5. วิญญาณ ความรู้แจ้งทางทวารทั้ง ๖ รู้แจ้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ )


นิพพานัง ปรมังสุขัง

วันเสาร์, กรกฎาคม 09, 2548

ทำนองอักษรา

"โอ้อกเอ๋ย......ชีวิตข้าแสนว้าเหว่ เหมือนพเนจรไปไร้จุดหมาย
เหมือนเคว้งคว้างกลางหาวไร้ดาวพราย เหมือนอยู่ปลายโลกร้างไร้ทางรัก "

"หากว่าเราพบกันในวันนี้ แล้วต้องมีจากกันในวันหน้า
เราก็อย่าพบกันเลยขวัญตา เพื่อ"คำลา"จะได้ไม่ต้องมี"

"วันนี้กูรักเขาเข้าแล้ว เป็นทแกล้วทหารกล้าหน้านับถือ
กูจะหลงกูจะรักให้เขาลือ ว่ากูคือคนเก่งกล้าไม่น่าFAIL " จิ๊กโก๋อกหัก

"โลกมีไว้ให้เหยียบ ไม่ใช่ให้แบก ฉะนั้นอย่าซีเรียสกับชีวิต"

"LIFE FIND THERE WAY" "ชีวิตจะหาหนทางของมันเอง"

เราสามารถห้ามใจมิให้รักคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถห้ามคนอื่นมิให้ให้รักเราได้

"การที่เราไม่ทำเลว ไม่ได้หมายความว่าเราทำดี"

"การวิเคราะห์ปัญหาต้องดูที่เหตุ เช่นเขาดีกับเราเพราะอะไร รักเรา กลัวเรา หลอกเรา"

"แก้วใบใดที่แตกร้าวแล้ว ไม่มีวันที่จะทำให้รอยร้าวนั้นหายสนิทเหมือนเดิมได้"

"คนฉันท์ใด ย่อมพอใจที่จะคบคนฉันท์นั้น"

"คนที่ไม่รู้จักคิด คือคนที่ไม่มีคุณค่า"

"คนมักจะคิดว่าผู้อื่นทำให้เกิดปัญหา ไม่เคยคิดว่าตัวเองก่อปัญหา"

"คนเราต่างกัน จึงไม่แปลกที่บางคนจะเกลียดขี้หน้าเรา :จงอย่าโกรธหนอ อย่าโมโหหนอ"

"คนเราไม่ใช่พระเอกหนัง ย่อมมีผิดมีพลาดพลั้งกันอยู่แล้ว"

"คนเราไม่เท่ากัน"

"ช่างมันฉันไม่แคร์"

"คนเราหากกระทำความผิดใด หากแสดงความจริงใจออกมา อาจได้รับการให้อภัย"

"ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี ลองดูทีทุกคนก็มีหัวใจ"

"ความจริง รักนั้นมักเกิดขึ้นโดยฉับพลันเสมอ

มีแต่รักของมิตรสหายเท่านั้นที่จะต้องสะสมขึ้นจากวันเวลา" "จึงจะหนักแน่นยืนนาน"
"ความจริงบางเรื่องมันเจ็บปวด แต่เราควรรับรู้และยอมทำใจ ดีกว่าโกหกกัน"

"ความฝันเป็นจริงได้และเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าเป็นสิ่งเดียวที่คุณมี" /คนชอบฝัน/

"ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน" "มันต้องเกิดอะไรที่มันต้องเกิด"

"ความรักทำให้คนตาบอด"

"ความรักเป็นลมหายใจของชีวิต"

"ความรู้เป็นดาบสองคม"

"ค่าของมนุษย์ในสังคม ขึ้นอยู่กับของกำนัลที่มันให้หรือไม่ให้เราอีกต่อไป"

"จงมองหาสิ่งที่ดีจากคนอื่น แล้วคุณจะมีเพื่อนมากมาย"

"จงรักในความหวัง แต่อย่าหวังในความรัก"

"จงอดทนและทนอด"

"จงอย่ากระทำต่อผู้อื่น ในสิ่งที่เราไม่ต้องการให้ผู้อื่นทำต่อเรา"

"จำใจจำจากเจ้าจำจร"

"ฉันไม่เป็นเช่นดังเช่นเคย เมื่อวันคืนล่วงเลยผ่านมา"

"ชีวิตคือปัญหา วิถีชีวิตคือวิถีแห่งการแก้ปัญหา"

"ชีวิตนี้เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว อยากทำอะไรทำไม่อยากทำไม่ต้องทำ"

"ตัวฉันคนอย่างตัวฉันใครจะมาสนใจ คนสวยคนที่ดีพร้อมเขาก็มองข้ามไป
เพราะฉันเป็นคนแบบปอนปอนทั่วไป ไม่เห็นจะมีดีที่ใด"

"ถ้าใครด่าเราโดยไม่ระบุชื่อ ให้ถือว่ามันไม่ได้ด่า"

"ถ้าเราคบคนอื่นแค่เพียงการดูจากภายนอก เราก็จะได้แต่ภายนอกของคนอื่นไม่ได้จิตใจของเขามาด้วย"

"ทำไมไม่ให้ใจอยู่เฉย? เพราะชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยความรักน่ะซี"

"ทำลายมิตร ง่ายกว่าทำลายศัตรู"

"ที่ใดมีมิตรแท้ ที่นั่นย่อมมีแสงสว่างและความอบอุ่น"

"เทพกับมารห่างกันเพียงเส้นผม"

"ธรรมดานัก ที่คนที่เรารักกับคนที่รักเราไม่ใช่ผู้เดียวกัน"

"นักรัฐศาสตร์ที่แท้จริงต้องมีความรับผิดชอบสูง เพราะการตัดสินใจของเขากระทบต่อคนจำนวนมาก"

"นานไปเดี๋ยวก็ลืม"

"น้ำไม่รู้หรอกว่าตัวเองลึกแค่ไหน สิ่งที่รองรับมันเท่านั้นที่จะบอกได้"

"ในชีวิตคนๆหนึ่ง เราจะสามารถให้ความรักที่บริสุทธิ์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น" /first/

"บางครั้งการรอคอยเพื่อนทำให้เราเสียโอกาส แต่การทิ้งเพื่อนอาจทำให้เราเสียเพื่อน"

"ปวดท้องต้องไปขี้ มีหนี้ต้องชดใช้"

"เป้าหมายของชีวิต คือการมีชีวิตอยู่อย่างไม่เครียด ทำสิ่งที่คิดว่าดีแล้วและไม่ลำบากใจ;"!!!!!!!

"ผมมักไม่พูดในสิ่งที่ผมคิด แต่ผมมักจะพูดโดยไม่ต้องคิด"

"ผู้หญิงก็เหมือนสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงเท่าไหร่ก็เลี้ยงไม่เชื่อง แต่ผู้ชายนะเหรอสัตว์ป่าเราดีๆนี่เอง"

"ผู้หญิงบางคนก็เหมือนพลุ จะดูดีก็แต่ในยามค่ำคืน"

"มันยุติธรรมแล้วหรือ ที่เรารักเขาแลัวแต่เขาไม่รักเราตอบ?
ยุติธรรมแล้ว เพราะอย่างน้อย เขาก็เปิดโอกาสให้เราได้รัก"

"มีความรู้แล้วไม่ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์" /อย่ามีให้รกหัวจะดีกว่า/

"มีพบต้องมีพราก รู้จากจากรู้จัก มีร้างต่อเมื่อรัก จำต้องพักใจวาง"

"มีศัตรูเป็นบัณฑิตดีกว่ามีมิตรเป็นคนพาล"แต่อย่างไรก็ตาม ย่อมดีกว่ามีศัตรูเป็นคนพาล

"เมื่อมีครอบครัวแล้ว อย่าขอเงินพ่อแม่อีก"

"เมื่อเห็นความไม่ถูกต้องแล้วไม่คัดค้าน=เราเปิดโอกาสหรือสมยอมให้ความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในสังคม"

"ไม่ถึงที่ตายวายชีวาวาตถ์ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ

ถึงที่ตายวายชีวาวันไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกก็เสือกตาย"

"ไม่มีใครที่ดีหมดหรือหมดดี"

"ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีเสน่ห์ เท่ากับคนที่เรารัก" /หมดรักย่อมหมดเสน่ห์/

"ไม่มีอะไรในโลกที่น่ากลัวเท่ากับความกลัว"

"ยามจนรู้ใจตัว ยามกลัวรู้ใจเพื่อน"
"รัก ที่แท้คืออะไร?"

"รัก(ไม่)แท้ย่อมแพ้ใกล้ชิด" "เสน่ห์หรือจะสู้สนิท"

"เราจะไม่มีทางรู้คุณค่าของหนังสือ ด้วยการดูแค่ปก"

"เรื่องของใคร ใครไม่เกี่ยว ไม่ต้องไปสนใคร"

"โรคารักษาด้วยยา กาลเวลารักษาดวงใจ"

"เวลาจะทำอะไร ถามตัวเองว่ามีจุดมุ่งหมายอะไร" /คิดสักนิดก่อนทำ/

"สตรีเป็นศัตรูของการศึกษา"

"สำหรับบางคนเส้นทางที่ได้เลือกเดินแล้วมิอาจหวนกลับ"

"สิ่งใดก็ตามที่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกมันจะประทับรอย ฝังอยู่ในใจเรานานแสนนาน"

"สุรายังมีหลายสี นารีหรือจะมีใจเดียว"

"ซึมเพราะเหล้า ยังดีกว่าเศร้าเพราะเธอ"

"หลักการเลือก ๑.ต้องทำ ไม่ทำมีปัญหา ๒.ควรทำ ทำได้ก็ดี "

"เหตุผล ไม่จำเป็นต้องใช้กับคนบางคน"

"เหตุผลไม่จำเป็นต้องมาก่อนอารมณ์เสมอไป"

"อย่าหวังอะไรจากคนไม่ดี เพราะจะไม่ได้อะไรนอกจากอะไรๆที่ไม่ดี"

"อันที่จริงตัวกูนั้นไม่มี แต่พอโง่มันก็มีขึ้นจนได้
กว่าหายโง่ตัวกูก็หายไป ไม่มีกูเสียได้นั่นแหละดี "ท่านพุทธทาส

ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์

แม้ใจจริงจะรักเพียงเธอ แม้ในใจยังอยากจะมีตัวเธอนั้นไว้นานเท่านาน
โปรดจงอย่าหันมองกลับมาเดินไปให้ไกลให้สุดสายตา แล้วเธอคงได้พบทางเดินใหม่
แม้ชีวิตได้ผ่านเลยวันแห่งความฝัน วันที่ผ่านมาไร้จุดหมาย
ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่เพียงตัวและจิตใจ เป็นมิตรแท้ที่ดีตลอดกาล
อันความรักเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตคนเรา

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

อย่าเสียเวลาค้นหาชีวิต ชีวิตไม่มีอะไรให้ค้นหา

เกิดมาอย่าเสียชาติ ทำอะไรตอบแทนประเทศ บ้าง.


ปัญหาใดแก้ไขได้ใยต้องไปกังวล    ปัญหาใดไร้ทางแก้แล้วไยยังไปวิตก