วันพฤหัสบดี, เมษายน 30, 2552

Change นายกมือใหม่หัวใจประชาชน

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
ฉายมา 4 ตอน ดูไป 2 ตอน


โอ้ย ถูกใจอะ ชอบจริงๆ


ในภาวะที่การเมืองในชีวิตจริงมันสุดจะรับไหว ขอให้ใจกับการเมืองในละครแทนละกัน


ฉายทางช่อง ทีวีนกพิราบ พุธ พฤหัส 20.20 - 21.15 น. ครับ


วันพุธ, เมษายน 29, 2552

ติดตามสถานการณ์ไข้หวัดข้ามทวีป

ไม่ขอเรียกว่าไข้หวัดหมูนะครับ แต่น่าสังเกตุนะครับประเทศแถบมุสลิมไม่นิยมหมู ก็ไม่มีร่องรอยติดเชื้อนะครับ


File:H1N1 map.svg   
* Black: confirmed deaths   
* red: confirmed infections   
* orange: unconfirmed infections
ตารางครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Template:2009_swine_flu_outbreak_table

วันศุกร์, เมษายน 24, 2552

มงคลสูตร

วันนี้ทำบุญแต่เช้า ได้ฟังพระสวดมงคลสูตร (แน่นอนว่าฟังไม่ออกไม่เข้าใจคความหมาย) และได้ฟังประวัติมานิดหน่อย จึงไปตามหาคำแปลมาคตรับ ว่าฟังอะไรมาบ้างเมื่อเช้านี้

----------------------------------------------------------------------------------------------

http://seedang.com/stories/36388

มงคลสูตรเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ให้ ทวยเทพที่เข้ามาถามไถ่ พระพุทธเจ้าถึงสิ่งที่ทำแล้วเกิดมงคล แก่ผู้ที่หวังความสวัสดีให้ชีวิต จดบันทึกการแสดงธรรมครั้งนั้น โดยพระอานนท์เถระเจ้า พระสาวกอุปัฎฐากของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเอตะทัคคะในการจดจำบันทึกถ้อยความครับ .....ปัจจุบันเราสวดมนต์บทนี้กันอย่างมากมายแต่ใจความในบทสวดนี้ มันคือปาฎิหาร์ยงั้นหรือถ้าเราไม่รู้คำแปล เมื่อรู้คำแปลแล้วเราได้ปฎิบัติอย่างในบทสวดมนต์นี้หรือไม่.....ถ้าเราทำได้ เมื่อนั้นเราจะเกิดความสวัสดี เมื่อนั้นเองจึงเกิดสิ่งดีๆในชีวิต นั่นแลผมเรียกว่าปฎิหาร์ย ปาฎิหาร์ยที่เกิดจากการจดจำเข้าใจพระสูตรนี้ หาใช่เกิดจากการท่องบ่นภาษาบาลีจดจำอัครบาลี อย่างไม่รู้ความหมายไม่....สาธุ ขอความเป็นมงคลบังเกิดแก่ผู้ที่ปฎิบัติตามคำสอนในพระสูตรมงคลนี้ได้.... สวัสดี

----------------------------------------------------------------------------------------------

มงคลสูตร
เอวัมเม สุตัง ( อันข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้สดับมาอย่างนี้ )
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ( สมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า )
สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน, อนาถะปิณฑิกะ อาราเม ( ประทับอยู่ที่เชตวันวิหาร อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี )
อะถะ โข อัญญะตะรา เทวะตา ( ครั้งนั้นแล เทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง )
อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา ( ครั้งเมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีอันงามยิ่งยิ่งนัก )
เกวะละปัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา ( ยังเชตวันทั้งสิ้น ให้สว่าง )
เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ ( พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด ก็เข้าไปเฝ้า ณ ที่นั้น )
อุปะสังกะมิตวา ภะคะวันตัง อภิวาเทตวา ( ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคแล้ว )
เอกะมันตัง อัฏฐาสิ ( ได้ยืนอยู่ในที่สมควรแห่งหนึ่ง )
เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวตา ( ครั้นเทวดานั้น ได้ยืนในที่สมควรแห่งหนึ่งแล้ว แล )
ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ ( ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคาถาว่า )
พะหู เทวา มะนุสสา จะ ( หมู่เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก )
มังคะลานิ อะจินตะยุง อากังขะมานา โสตถานัง ( ผู้หวังความสวัสดี ได้คิดหามงคลทั้งหลาย )
พรูหิ มังคะละมุตตะมัง ( ขอพระองค์จงเทศนา มงคลอันสูงสุด )
อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ( พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า การไม่คบคนพาลทั้งหลาย ๑ การคบคบบัณฑิตทั้งหลาย ๑ )
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การบูชาชนที่ควรบูชาทั้งหลาย ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุเพ จะ กะตะปุญญะตา ( การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ การเป็นผู้มีบุญอันทำแล้วในกาลก่อน ๑ )
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การตั้งตนไว้ชอบ ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต ( การเป็นผู้ฟังมาก ๑ ศิลปะ๑ วินัยอันชนศึกษาดีแล้ว ๑ )
สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( วาจาอันชนกล่าวดีแล้ว ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห ( การบำรุงมารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรและภรรยา ๑ )
อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การงานทั้งหลายที่ไม่อากูล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห ( การให้ ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติทั้งหลาย ๑ )
อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การกระทำทั้งหลายไม่มีโทษ ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม ( การงดเว้นจากบาป ๑ การสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑ )
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา ( การเคารพ ๑ การไม่จองหอง ๑ การยินดีในของที่มีอยู่ ๑ การเป็นคนกตัญญู๑ )
กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การฟังธรรมตามกาล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง ( ความอดทน ๑ การเป็นคนว่าง่าย ๑ การเห็นสมณะทั้งหลาย ๑ )
กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การเจรจาธรรมโดยกาล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง ( ความเพียรเผากิเลส ๑ การประพฤติอย่างพรหม ๑ การเห็นอริยสัจทั้งหลาย ๑ )
นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )

 
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ ( จิตของผู้ใด อันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว )
อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( ไม่มีโศก ปราศจากธุลี เกษม ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )
เอตาทิสานิ กัตวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา ( เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย กระทำมงคลทั้งหลายเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง)
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ ฯ
( ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เหล่านั้น แล ฯ )

ขอให้เกิดปัญญากันถ้วนหน้าแล........................


------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ* ผู้ใหญ่ที่เล่าประวัติมงคลสูตรให้ฟัง บอกว่า พระพุทธเจ้าเน้นในเรื่องไม่คบคนพาลมา อันดับแรกมาก่อนเรื่องอื่น  อาจเป็นเพราะ หากคนคนพาลแล้ว จะทำให้มงคลข้ออื่นๆ จะปฏิบัติได้ยากก็เป็นได้

วันศุกร์, เมษายน 17, 2552

DXOMARK a free resource dedicated to RAW-based camera image quality

http://www.dxomark.com/
โปรกล้องแนะนำเวป ดูข้อมูลกล้องมาให้ครับ เราเลยมาบอกต่อ


เท่าที่เข้าไปดู ก็ตามชื่อละครับ เน้นกล้องที่ถ่าย RAW ไฟล์ได้ แต่ละตัวก็เบ้งๆทั้งนั้น

new gadgets

http://www.dealextreme.com/products.dx/category.399
เอาไว้ติดตามของเล่นอิเลคทรอนิคส์ออกใหม่ชนิดต่างๆครับ ตามสไตล์บริโภคนิยม

วันพฤหัสบดี, เมษายน 16, 2552

กฎแห่งกระจก A Rule of a Mirror

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Health, Mind & Body
Author:โยชิโนริ โนงุจิ
อ่านแล้วคิดว่ามีประโยชน์มากครับ เลยขอแนะนำต่อ
ขอบคุณ คุณ http://livingshadow.multiply.com/journal/item/14/14 ที่โพสไว้ครับ


=======================================================
“Workshop”

เรื่อง

“กฎแห่งกระจก”

โดย โยชิโนริ โนงุจิ

“กฎมหัศจรรย์ที่จะช่วยแก้ไขทุกปัญหาในชีวิตของคุณ”

อ่านแล้ว!

วิเคราะห์ว่าทำได้หรือไม่ ?

ทำได้เมื่อใด ?

มั่นใจว่าทำแล้วดีแน่นอน ... หรือเช่นใด


กฎแห่งกระจก

A Rule of a Mirror

เอโกะ อาคิยามะ แม่บ้านอายุย่าง 41 ปี มีเรื่องกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ยูตะ ลูกชายของเธอที่กำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้ง เพื่อน ๆ ไม่ได้ใช้กำลังกับเขา เพียงแต่มักแสดงท่าทีรังเกียจ และ มองว่าเขาเป็นตัวปัญหา

“ผม ไม่ได้ถูกแกล้งสักหน่อย” ยูตะยืนกรานหนักแน่น เอโกะรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นลูกชายอยู่อย่างโดดเดี่ยว ยูตะชอบเล่นเบสบอลมาก แต่เพื่อน ๆ ไม่ยอมชวนเขาไปเล่นด้วย หลังเลิกเรียนทุกวันเขาจึงต้องไปโยนรับลูกเบสบอลที่กำแพงคนเดียวในส่วน สาธารณะ

ยูตะเคยเล่นเบสบอลกับเพื่อน ๆ เมื่อประมาณสองปีก่อน วันหนึ่งขณะที่เอโกะจ่ายตลาดเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน เธอเดินผ่านโรงเรียน และ เห็นว่ายูตะกำลังเล่นเบสบอลกับเพื่อนอยู่ในสนาม ยูตะเล่นพลาดและเพื่อน ๆ ก็กำลังรุมต่อว่าเขา เพื่อนร่วมทีมต่างตำหนิยูตะเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า

“นายนี่เล่นห่วยจริง ๆ เลย!”

“เพราะนายนั่นแหละ เราถึงเสียไปตั้งสามแต้ม”

“ถ้าจะแพ้ก็เพราะนายนี่แหละ!”

เอโกะนึกในใจว่า

“ถึงยูตะจะเล่นไม่เก่ง แต่เขาก็มีจิตใจโอบอ้อมอารีนะ ยูตะเองก็มีข้อดีเหมือนกัน”

เอ โกะนึกเจ็บใจแทนยูตะที่ไม่มีใครมองเห็นข้อดีของเขาเลย เธอยังทนไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกยิ้ม และ ขอโทษเพื่อนทั้ง ๆ ที่พวกเขาพูดจาไม่ดีใส่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อน ๆ ก็ไม่ชวนยูตะไปเล่นเบสบอลด้วยอีกเลย

“นายน่ะเป็นตัวถ่วง ใครจะอยากเล่นด้วยล่ะ” เพื่อนพูดกับเขาอย่างนั้น ยูตะทุกข์ใจมากที่ไม่มีใครชวนไปเล่นเบสบอลด้วย ซึ่งเอโกะก็รู้ดี เพราะสังเกตเห็นได้ว่ายูตะหงุดหงิดใส่เธอบ่อยขึ้นแต่ยูตะก็ไม่เคยบอกเอโกะ ว่าเขาเหงา หรือ ทุกข์ใจเลย

สำหรับเอโกะแล้ว เรื่องที่เธอทุกข์ใจมากที่สุดก็คือ การที่ลูกชายไม่ยอมเปิดใจกับเธอ

“ผม ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ลูกชายของเธอยังคงยืนยันเช่นเดิม แม้เอโกะจะพยายามสอน “วิธีการคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด”ให้แต่เขาก็บอกปัดเสมอว่า “วุ่นวายจริง ๆ เลย! อย่ามายุ่งได้มั้ย”

หรือเมื่อเธอเสนอกับลูกว่า “ย้ายโรงเรียนดีไหมจ๊ะ” ยูตะก็หัวเสียตอบกลับว่า “ถ้าแม่ทำแบบนั้นนะ ผมจะโกรธแม่ไปชั่วชีวิตเลย คอยดู!”

เอโกะได้แต่ทุกข์ใจที่ตัวเองไม่เอาไหน และ เป็นที่พึ่งพิงให้ลูกชายไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้

วันหนึ่ง ยูตะอารมณ์เสียกลับมาบ้านหลังจากออกไปเล่นเบสบอลที่สวนสาธารณะคนเดียวเช่นเคย

“เป็น อะไรไปน่ะลูก” เอโกะถาม “ไม่มีอะไรหรอกฮะ” ยูตะไม่ยอมเล่าอะไร แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยเมื่อเพื่อนบ้านที่ค่อนข้างสนิทสนมกันโทรศัพท์มาหา เธอในคืนนั้น

“คุณเอโกะคะ ยูตะเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างไหมคะ”

“เอ๊ะ ก็เปล่านี่คะ”

“คือ ว่าวันนี้ฉันพาลูกไปเล่นชิงช้าที่สวนสาธารณะมาน่ะค่ะ แล้วก็เห็นยูตะกำลังเล่นเบสบอลอยู่คนเดียวเหมือนเคย จู่ ๆ เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเจ็ดแปดคนก็เดินไปบอกกับยูตะว่า “เรากำลังจะไปเล่นดอดจ์บอลกัน ไปก่อนนะเพื่อน !” เท่านั้นไม่พอ เด็กคนหนึ่งยังขว้างลูกบอลใส่ ยูตะด้วยค่ะ ยูตะเลยรีบกลับบ้านทันที ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำยังไงดี”

เอ โกะอึ้งไปชั่วขณะ “มีเรื่องขนาดนี้ ยูตะยังไม่ยอมเล่าให้ฟังเลย” เอโกะเสียใจที่ลูกไม่เปิดใจปรับทุกข์กับเธอ แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเซ้าซี้ถามลูกในวันนั้น

วันต่อมา เอโกะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง คนคนนั้น คือ คุณยางุจิ รุ่นพี่ของสามีเธอ เอโกะไม่เคยคุยกับคุณยางุจิโดยตรง สามีของเธอเพิ่งจะให้นามบัตรของเขามาเมื่อสัปดาห์ก่อน

คุณยางุจิเป็น รุ่นพี่ในชมรมเคนโดเมื่อสมัยมัธยมปลายสามีของเธอไม่ได้พบกับเขามาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับได้พบกันโดยบังเอิญ ทั้งสองมีเรื่องคุยกันหลายเรื่องหลังจากไม่ได้พบกันมานาน รู้ตัวอีกทีก็นั่งแช่อยู่ในร้านกาแฟนานกว่าสองชั่วโมง ปัจจุบัน คุณยางุจิทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ

สามีของเธอเล่าว่า คุณยางุจิเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและให้คำปรึกษาแก่ทั้งบริษัทและบุคคลทั่วไป สามีของเธอเล่าเรื่องของยูตะให้คุณยางุจิฟัง เขาจึงยื่นนามบัตรให้แล้วบอกว่า “ผมน่าจะช่วยได้นะ”

วันนั้นสามีบอกกับเธอว่า “คุณลองโทร.ไปคุยกับเขาดูสิ ผมเกริ่นเอาไว้ให้แล้ว” พร้อมกับยื่นนามบัตรให้

“ทำไมฉันต้องโทร.ไปคุยกับคนที่ไม่รู้จักด้วยล่ะ คุณก็คุยไปคนเดียวสิ”

“คนที่น่าเป็นห่วงคือคุณนะ ผมเห็นคุณกังวลเรื่องยูตะมานานแล้ว ก็เลยลองปรึกษาคุณยางุจิดู”

“หมาย ความว่าปัญหาอยู่ที่ฉันอย่างงั้นเหรอ คนป็นแม่จะเป็นห่วงลูกก็ไม่เสียหายตรงไหนนี่! คุณนะได้แต่ขับรถไปวัน ๆ จะไปทุกข์ร้อนอะไรล่ะ คนที่เลี้ยงยูตะก็มีแต่ฉันคนเดียวนี่แหละ คุณไม่เคยต้องเป็นห่วงหรอก ฉันไม่มีทางคุยกับเขาแน่นอน ถึงยังไงเขาก็คงไม่เคยเลี้ยงลูกอยู่แล้ว เหมือนคุณนั่นแหละ”

พูดจบเอโกะก็โยนนามบัตรทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร

หนึ่ง สัปดาห์ผ่านไป หลังจากได้ฟังเรื่องที่เพื่อนบ้านเล่า เอโกะก็รู้สึกสิ้นหวัง เธออยากหาทางออกไปให้พ้นจากปัญหานี้เสียที “ฉันไม่อยากทุกข์ทรมานอีกแล้ว ใครก็ได้ช่วยฉันที” แล้วเธอก็นึกถึงคุณยางุจิขึ้นมา โชคดีที่เธอหานามบัตรของเขาพบ หลังจากที่ยูตะออกไปโรงเรียนได้ชั่วโมงหนึ่ง เธอจึงโทรศัพท์ไปคุณยางุจิ แล้วในวันนั้นเธอก็ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิด ขึ้นกับตัวเอง

โอเปอเรเตอร์สาวต่อสายของเธอให้คุณยางุจิ

เอ โกะแนะนำตัว เสียงของคุณยางุจิที่ดังมาตามสายฟังดูอารมณ์ดี เธออดคิดไม่ได้ว่า “ปรึกษาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้จะดีหรือ” เธออ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจนกระทั่งคุณยางุจิ เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าใช่ภรรยาของ คุณอาคิยามะหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ”

“อ้อ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เอ่อ คือสามีดิฉันเล่าให้คุณฟังบ้างแล้วหรือยังคะ”

“ครับ เขาเกริ่นให้ผมฟังว่าคุณกำลังกังวลเรื่องลูกชายอยู่...”

“ไม่ทราบว่าพอจะให้คำปรึกษาดิฉันหน่อยได้ไหมคะ”

“ตอนนี้ผมมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าคุณสะดวก เล่าให้ผมฟังเลยได้ไหมครับ”

เอ โกะจึงเล่าคร่าว ๆ ถึงเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งและไม่มีใครเล่นด้วย รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หลังจากฟังเธอเล่าจบ คุณยางุจิก็เอ่ยขึ้นว่า

“คุณคงกังวลใจมากเลยสินะครับ ไม่มีเรื่องไหนจะทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจไดเท่าเรื่องลูกอีกแล้ว” พอได้ยินคำนั้น เอโกะก็น้ำตาคลอ คุณยางุจิรู้สึกว่าเอโกะกำลังร้องไห้ จึงรอให้เธอสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วจึงพูดต่อ

“คุณครับ คุณต้องการแก้ปัญหานี้ให้ได้จริงๆ ใช่ไหม เราน่าจะหาทางแก้ไขได้นะครับ”

เอ โกะแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำว่า “แก้ไข” เพราะเธอกลุ้มใจเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว เธออยากแก้ปัญหาให้ได้จริงๆ ตามที่คุณยางุจิพูด

“ถ้ามันช่วยได้แน่ ๆ ดิฉันก็ยินดีทำตามทุกอย่างเลยค่ะ ดิฉันตั้งใจจริงนะคะ แต่ว่าต้องทำยังไงบ้างเหรอคะ”

“ถ้าอย่างงั้นเรามาช่วยกันหาทางแก้เถอะครับ ในตอนนี้เท่าที่ผมรู้ก็คือ คุณกำลังเกลียดใครบางคนใกล้ตัว”

“เอ๊ะ หมายความว่ายังไงคะ”

“ผม คงพูดข้ามไปหน่อย ความจริงผมควรอธิบายหลักการคร่าว ๆ ให้คุณฟังก่อน แต่ว่าตอนนี้ผมมีเวลาไม่มาก เอาเป็นว่าขอพูดสรุปเลยแล้วกันนะครับ ที่ลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งจนคุณต้องกังวลใจนั้น ก็เพราะคุณไม่เคยนึกขอบคุณ คนที่ควรจะขอบคุณเลย ไม่ใช่แค่นั้นครับ คุณยังรู้สึกเกลียดชังคนเหล่านั้นตลอดมาด้วย”

“ลูกถูกเพื่อนแกล้งกับปัญหาส่วนตัวของดิฉันมันเกี่ยวข้องกันได้ยังไงคะ ฟังเหมือนเป็นความเชื่อทางศาสนามากกว่านะคะ”

“ไม่ แปลกที่จะคิดอย่างนั้นครับ โรงเรียนมักสอนให้เราเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่สิ่งที่ผมบอกไปเมื่อครู่เป็นกฎในสาขาวิชาจิตวิทยาที่ได้รับการค้นพบมานาน แล้ว จะนึกว่าเป็นเรื่องทำนองเดียวกับความเชื่อทางศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำ บรรพ์ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่นับถือศาสนาอะไรนะครับ”

“ช่วยอธิบายกฎนั้นให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ”

“ได้ สิครับ กฎนั้นก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ “ผลลัพธ์” เมื่อมี “ผลลัพธ์” ก็ต้องมี “ต้นเหตุ” และ ต้นเหตุก็มีที่มาจากจิตใจของเราเอง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต คือ กระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง ตัวอย่างเช่น เวลาส่องกระจกเราก็จะเห็นว่า “เอ๊ะ ผมยุ่งเชียว!” หรือ “อะไรกันทำไมวันนี้หน้าตาถึงได้ซีดเซียวขนาดนี้” ถ้าไม่มีกระจก เราก็มองไม่เห็นสภาพของตัวเอง จริงไหมครับ ลองคิดว่าชีวิตของคุณคือกระจก การมีกระจกที่เรียกว่าชีวิตจะทำให้เรามองเห็นสภาพของตัวเอง และ เกิดแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ชีวิตของ คนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดครับ”

“สิ่งที่ดิฉันกังวลอยู่ตอนนี้สะท้อนให้เห็นอะไรเหรอคะ”

“ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ “ลูกชายคนสำคัญของคุณกำลังเป็นทุกข์เพราะถูกเพื่อนแกล้ง” ต้นเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ คุณ “กำลังเกลียดคนที่คุณควรจะให้ความสำคัญ” คุณคิดแบบนั้นบ้างหรือเปล่าครับ อย่างเช่นว่าเกลียดคนที่คุณควรจะต้องสำนึกขอบคุณ หรือไม่ก็เกลียดคนใกล้ตัว คุณเกลียดสามีอยู่หรือเปล่าครับ ในเมื่อเขาอยู่ใกล้ชิดคุณมากที่สุด”

“ไม่นี่คะ ดิฉันนึกขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ เขาขยันทำงานขับรถบรรทุกเพื่อให้เรามีอยู่มีกินอย่างทุกวันนี้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ แล้วคุณให้ความสำคัญกับสามีคุณมากน้อยแค่ไหนครับ เคารพเขาไหม”

เอโกะสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่า “เคารพ” เพราะเธอรู้สึกดูแคลนสามีอยู่ตลอดเวลา

เอโกะมองว่าคนที่มองโลกในแง่ดีอย่างสามี คือ คนที่ “ไม่มีความคิด” และ บางครั้งยังมองว่า “ไม่มีการศึกษา” อีกด้วย

เอ โกะเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่สามีจบชั้นมัธยมปลายไม่เพียงเท่านั้น สามีของเธอยังเป็นคนพูดจากระด้าง ชอบอ่านแต่นิตยสารรายสัปดาห์ ส่วนเอโกะชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจเธอจึงคิดอยู่เสมอว่า “ขออย่าให้ยูตะเป็นเหมือนสามีเลย”

แล้วเอโกะก็เลาให้คุณยางุจิฟังว่าเธอคิดอย่างไร

“คุณคิดว่าคุณค่าของคนขึ้นอยู่กับการศึกษา ความรู้ หรือไม่ ก็ความคิดหรือเปล่าครับ”

“ไม่ค่ะ ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ดิฉันคิดว่าทุกคนต่างก็มีจุดเด่นและความสามารถเฉพาะตัว”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงดูถูกสามีว่า “ไม่มีความรู้” ล่ะครับ”

“เอ่อ... ดิฉันมีความขัดแย้งในตัวเองใช่ไหมคะนี่”

“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีเป็นยังไงบ้างครับ”

“ดิฉันมักจะไม่พอใจพฤติกรรมกับคำพูดของเขาอยู่บ่อย ๆ ค่ะ บางทีก็ถึงขั้นทะเลาะกัน”

“แล้วเรื่องของยูตะล่ะครับ สามีคุณว่ายังไงบ้าง”

“ดิฉัน บ่นกับเขาเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากเขาเลย เราไม่เคยปรึกษากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที คงเป็นเพราะดิฉันไม่ยอมรับสามีน่ะค่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง แต่ดูเหมือนจะมีสาเหตุอื่นด้วยนะครับ ผมว่าเราควรแก้ปัญหานั้นก่อนแล้วค่อยกลับมาดูเรื่องนี้กันอีกทีดีกว่าครับ”

“สาเหตุอื่นเหรอคะ”

“เราต้องหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณไม่ยอมรับในตัวสามีครับ ผมขอถามหน่อยนะครับ คุณสำนึกบุญคุณของพ่อบ้างหรือเปล่า”

“เอ๊ะ พ่อเหรอคะ ก็ต้องสำนึกคะ.........”

“ลึกๆ แล้วคุณรู้สึกว่าท่านทำสิ่งที่คุณ ให้อภัยไม่ได้บ้างไหมครับ”

เอโกะรู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดใจเธอเมื่อได้ยินคำว่า “ให้อภัยไม่ได้”

เธอเริ่มคิดว่าตัวเองอาจไม่เคยให้อภัยพ่อเลย

เธอรู้สึกสำนึกบุญคุณพ่อในฐานะที่ท่านเป็นพ่อ แต่เธอไม่ได้รักพ่อ

ทุกๆ ปีนับแต่แต่งงานออกไป เอโกะจะกลับบ้านช่วงเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษและวันปีใหม่ แต่เธอก็แทบไม่คุยกับพ่อ แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้น

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต เธอรู้สึกว่าพ่อเป็นคนอื่นมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว

“ดิฉันคงไม่เคยให้อภัยพ่อเลยน่ะค่ะ และก็คงจะทำไม่ได้ด้วย”

“เหรอครับ ดูเหมือนยากที่คุณจะให้อภัยท่าน แต่ละลองพยายามดูได้ไหมครับ”

“ต้นเหตุของความทุกข์นี้เกี่ยวข้องกับพ่อและสามีของดิฉันจริงๆ เหรอคะ”

“คุณต้องลองก่อนถึงจะรู้ครับ”

“เข้าใจแล้วค่ะ บอกมาได้เลยค่ะว่าดิฉันต้องทำอะไรบ้าง”

“ถ้า อย่างนั้น ก่อนอื่น ช่วยลองทำสิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้นะครับ ผมอยากให้คุณเขียนระบายความรู้สึกที่คุณคิดว่าให้อภัยไม่ได้ ลงบนกระดาษ เป็นคำพูดระบายความโกรธก็ได้ครับ อย่างเช่น “ไอ้บ้า” หรือ ไม่ก็ “ทุเรศ” หรือไม่ก็ “หนูเกลียดพ่อ” อะไรทำนองนั้นน่ะครับ ถ้านึกเหตุการณ์ในอดีตออกก็เขียนลงไปด้วย เช่นว่า “เรื่องราวในตอนนั้นทำให้ฉันรู้สึกแย่” ระบายความเจ็บแค้น ความทุกข์ทุกอย่างลงไปในกระดาษให้หมด ไม่ต้องยั้งเลยนะครับ คุณต้องเขียนความรู้สึกของตัวเองออกมาเขียนไปจนกว่าจะพอใจ แล้วค่อยโทรศัพท์มาหาผม ผมจะบอกเบอร์มือถือให้นะครับ”

เอโกะยังนึกสงสัยอยู่ว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยแก้ปัญหาอย่างไรได้

แต่ เธอคิดว่าถ้ามีความเป็นไปได้ก็น่าจะลองดู ดีกว่านั่งสงสัยแล้วไม่ทำอะไรเลย เอโกะ คิดว่า “จะลองทำทุกอย่างหากสิ่งนั้นจะช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ได้”

ถึง แม้เธอจะไม่เข้าใจเหตุผลของคุณยางุจิ แต่คำพูดของเขาก็ฟังดูน่าเชื่อถือ หลังจากที่เอโกะวางโทรศัพท์ เธอก็หยิบกระดาษเปล่าสำหรับเขียนรายงานมาเริ่มเขียนระบายความรู้สึกที่มีต่อ พ่อของตัวเอง

สมัยที่เอโกะยังเด็ก พ่อของเธอเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น บ่อยครั้งที่เวลาอาหารเย็นกลายเป็นเวลาของการเทศนาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น และเมื่อลูกๆ ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะตะโกนด่ากันเสียๆ หายๆ นั่นละพ่อของเธอ

“พ่อไม่สนเหรอว่าฉันรู้สึกยังไง!” หลายครั้งที่เธอคิดอย่างนั้น

และเธอก็ไม่พอใจที่พ่อชอบบ่นเรื่องงานเวลาเหล้าเข้าปาก

พ่อเป็นคนงานคุมการก่อสร้าง เมื่อเลิกงานกลับมาบ้าน พ่อจะนั่งกินข้าวทั้งๆ ที่ยังสวมเสื้อผ้าเปื้อนเหงื่อ เลอะเศษดินและทรายเต็มไปหมด

เอโกะเขียนระบายความรู้สึกออกมาไม่หยุด

รู้ ตัวอีกทีก็มีคำว่า “คนไม่ได้ความ!” และ “คนแบบนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพ่อหรอก!” และอื่นๆอีกมากมาย บางคำก็ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว

เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีตสมัยชั้น มัธยมปลาย เธอเคยออกไปเที่ยวกับเพื่อนผู้ชายในวันอาทิตย์แล้ว พ่อบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าพอดี เมื่อกลับถึงบ้านเธอจึงถูกพ่อดุอย่างรุนแรง

เธอโกหกพ่อแม่ว่าไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิง และพ่อก็รับไม่ได้ที่เธอโกหก

เธอยังจำคำพูดของพ่อในวันนั้นได้ดี

“แกแอบคบกับเขาเสียๆ หายๆ หรือยังไง ถึงต้องปิดบังพ่อแม่! แกไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงดีๆ เหมือนใครเขาได้หรอก!”

น้ำตาแห่งความคับแค้นใจรินไหลออกมา เธอเขียนต่อไป

“ก็ เพราะพ่อเป็นเสียแบบนี้ หนูถึงต้องโกหกไงเล่า! พ่อนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ ไม่รู้หรือยังไง “แกไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงดีๆ เหมือนใครเขาได้หรอก” พ่อพูดเกินไปแล้ว พ่อไม่รู้หรอกว่าหนูเสียใจแค่ไหนที่พ่อพูดแบบนี้! พ่อต่างหากที่ไม่ดี! หนูไม่อยากพูดอะไรกับพ่ออีกตั้งแต่นั้นมา พ่อนั่นแหละทำตัวเอง!”

ขณะที่เขียนน้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย

รู้ ตัวอีกทีก็เลยเที่ยงวันไปนานแล้ว เธอเขียนอยู่เกือบสองชั่วโมง กระดาษเขียนรายงานหลายสิบแผ่นเต็มไปด้วยข้อความแห่งความโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเพราะได้เขียนระบายความคับแค้นใจหรือเพราะว่าได้ร้องไห้ออกมา เอโกะจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

เอโกะโทรศัพท์หาคุณยางุจิอีกครั้งตอนบ่ายโมงกว่า

“เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”

“ค่ะ ดิฉันระบายทุกอย่างออกมาหมด แล้วพอได้ร้องไห้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะค่ะ”

“คุณพร้อมที่จะให้อภัยคุณพ่อหรือยังครับ”

“พูดตรงๆ นะคะ ดิฉันคงไม่ค่อยพร้อม แต่ก็จะลองดูค่ะ ถ้าทำได้ดิฉันก็จะให้อภัย จะได้สบายใจเสียที”

“ถ้า อย่างนั้นก็จะมาเริ่มกันเลยครับ การให้อภัยคุณพ่อเป็นการทำเพื่อตัวคุณเองนะครับ ช่วยหยิบกระดาษมาเขียนหัวข้อว่า “สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ” ทีครับ เอาละ สิ่งที่คุณจะขอบคุณท่านได้มีอะไรบ้างครับ”

“อย่างแรกเลยคือ พ่อทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว เพราะพ่อ ครอบครัวเราจึงมีกินมีใช้ และดิฉันก็โตมาได้จนทุกวันนี้”

“เขียนลงไปเลยครับ แล้วอย่างอื่นล่ะครับ”

“เอ่อ ...สมัยประถม พ่อชอบพาดิฉันไปเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆ ค่ะ”

“เขียนลงไปด้วยครับ มีอีกไหมครับ”

“คงเท่านี้มังคะ”

“ถ้าอย่างนั้นหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาเขียนหัวข้อว่า “สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ” น่ะครับคุณมีเรื่องที่อยากขอโทษพ่อบ้างไหมครับ”

“คิดไม่ออกเลยค่ะ ถ้าจะมีก็คงเป็นเรื่องที่ดิฉันนึกต่อต้านพ่ออยู่ตลอดเวลา แต่ใจจริงแล้วดิฉันไม่อยากขอโทษเลยค่ะ”

“ไม่ต้องเอาตามความรู้สึกที่แท้จริงก็ได้ครับ แค่เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อน ยังไง ช่วยเขียนสิ่งที่คุณเพิ่งพูดลงไปก่อนนะครับ”

“เขียนแล้วค่ะ เอ่อ แล้วที่บอกว่าเริ่มจากการกระทำภายนอกนี่คืออะไรเหรอคะ”

“ฟัง ให้ดีนะครับ จากนี้ไปคุณต้องรวบรวมความกล้าแล้วละครับ นี่อาจเป็นสิ่งที่คุณต้องใช้ความกล้ามากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ วิธีที่ผมจะแนะนำคุณต่อไปนี้ คุณอาจไม่อยากทำตาม แต่จะทำหรือไม่ คุณต้องตัดสินใจเอาเองครับ

“ผมอยากให้คุณโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อ แล้วพูดขอบคุณและขอโทษท่าน ถ้าคุณไม่อยากพูดเพราะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น พูดตามที่เตรียมเอาไว้ก็ได้ครับ แค่อ่านข้อความในกระดาษสองแผ่นที่เขียน “สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ” และ “สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ” แค่บอกท่านไปตามนั้นเองครับพูดเสร็จแล้วจะวางสายเลยก็ได้ลองดูนะครับ”

“...... ดิฉันคงต้องใช้ความกล้ามากที่สุดในชีวิตอย่างที่คุณพูดละมังคะ แต่ถ้าสิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ ก็มีค่าควรแก่การลองจริงไหมคะ แต่ก็ยากจังเลยค่ะ...”

“จะทำหรือไม่ คุณต้องตัดสินใจเอาเองครับ แต่ผมคิดว่ามีค่าพอที่จะลองใช้ความกล้าดู พอดีว่าผมต้องไปทำธุระต่อแล้ว ยังไงขอตัวก่อนนะครับ ถ้าคุณโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อเรียบร้อยเมื่อไหร่ ขอให้โทรมาหาผม แล้วผมจะบอกขั้นตอนต่อไปให้ครับ”

คำพูดที่ว่า “เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อน” เป็นแรงจูงใจให้เอโกะคิดว่าน่าจะลองทำตามที่คุณยางุจิแนะนำดู

เธอทำใจไม่ได้ที่จะต้องขอโทษ เพราะคิดว่าคนผิดคือพ่อเธอไม่ควรเป็นฝ่ายต้องขอโทษเลย

แต่ถ้าแค่อ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้โดยไม่ต้องรู้สึกตามนั้นจริงๆ เธอก็น่าจะทำได้ และควรที่จะลองทำดู

เอโกะคิดว่าจะโทรศัพท์ไปหาพ่อ และอดแปลกใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำไม่ได้

ถ้าไม่มีแรงจูงใจเช่นนี้ เอโกะคงไม่มีโอกาสได้คุยกับพ่อไปตลอดชีวิต

ตอนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ทุกครั้งที่เธอโทรศัพท์กลับบ้าน ถ้าพ่อเป็นคนรับสาย เธอจะรีบพูดว่า “นี่หนูเองนะ ขอคุยกับแม่หน่อย”

แต่ เดี๋ยวนี้ พอเอโกะพูดว่า “นี่หนูเองนะ” เธอก็จะได้ยินเสียงพ่อร้องเรียกแม่ว่า “แม่ เอโกะโทรมา” พ่อเองก็คงรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เอโกะจะคุยด้วย

แต่วันนี้เธอจะคุยกับพ่อ

“ถ้ามัวแต่ลังเล เดี๋ยวก็ไม่อยากโทรขึ้นมาหรอก” เมื่อเอโกะคิดเช่นนั้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที

แม่เป็นคนรับสาย

“นี่หนูเองนะคะ”

“อ้าว เอโกะเหรอ สบายดีไหมลูก”

“ก็ดีค่ะ...เอ่อ แม่คะ พ่ออยู่ไหมคะ”

“เอ๊ะ พ่อเหรอ มีธุระอะไรกับพ่อล่ะ”

“เอ่อ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกคะ”

“เอ แปลกจัง แล้วมีธุระอะไรล่ะจ๊ะ”

“เอ่อ มันก็ออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อยน่ะค่ะแม่ เรื่องมันยาวขอหนูคุยกับพ่อเองได้ไหมคะ”

“อย่างนั้นก็ได้จ๊ะ รอเดี๋ยวนะ”

ในช่วงวินาทีที่รอพ่อเดินมารับโทรศัพท์ ความตื่นเต้นของเอโกะก็ถึงขีดสุด

เธอเกลียดพ่อและไม่ยอมคุยเปิดอกกับพ่อมาตลอด

แต่ตอนนี้เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณและขอโทษพ่อ ซึ่งความจริงแล้วเธอไม่น่าจะทำได้

เอโกะเป็นกังวลเรื่องของยูตะ และความกังวลนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอทำสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้

ถ้ามีความเป็นไปได้ที่จะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์นี้ละก็ เธอยอมทำทุกวิถีทาง

ความคิดนี้เป็นแรงผลักดันให้เอโกะโทรศัพท์ไปหาพ่อของตัวเอง

พ่อรับสาย

“มะ......มีอะไร มีธุระอะไรเหรอ”

เอโกะคิดอะไรไม่ออก เธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

“อะ เอ่อ คือ หนูอยากบอกอะไรกับพ่อน่ะค่ะ คือหนูไม่เคยบอกเลย แต่คิดว่าน่าจะบอกสักหน่อย ก็เลยโทรมาน่ะค่ะ ....คือว่าพ่อทำงานก่อสร้างคงเหนื่อยมาก เพราะพ่อตรากตรำทำงานหนัก หนูถึงโตมาได้ เอ่อ ตอนหนูเป็นเด็ก พ่อชอบพาหนูไปเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆ ใช่มั๊ยล่ะคะ หนูเลยคิดว่าน่าจะขอบคุณพ่อ อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ หนูไม่เคยพูดออกมา ก็เลยว่าจะบอกพ่อสักครั้ง แล้วก็ ........หนูรู้สึกต่อต้านพ่อ เถียงพ่ออยู่ในใจมาตลอด เลยคิดว่าควรจะขอโทษพ่อด้วยค่ะ”

เธอพูด “ขอบคุณ” หรือ “ขอโทษ” ออกไปชัดๆ ไม่ได้

แต่ก็พูดสิ่งที่ควรพูดออกไปแล้ว

เธอคิดจะวางสายทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อตอบรับกลับมา

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ

“ถ้าไม่ตอบ แล้วจะวางสายได้ยังไงกันล่ะ” ทันทีที่เธอคิดเช่นนั้น เธอก็ได้ยินเสียงของแม่ดังมาตามสาย

“เอโกะ! ลูกพูดอะไรกับพ่อน่ะ”

“คะ?”

“หนูว่าอะไรพ่อเขา! พ่อเขาลงไปนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นแล้วรู้ไหม!”

เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของพ่อทางโทรศัพท์

เธอทำอะไรไม่ถูกเพราะความตกใจ

ตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยได้ยินพ่อร้องไห้เลยสักครั้ง

พ่อเป็นคนเข้มแข็งมาก แต่ตอนนี้เธอได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของพ่อดังมาจากปลายสายอีก ฝั่งหนึ่ง

การที่เธอพูดขอบคุณซึ่งเป็นเพียงการกระทำภายนอก ทำให้พ่อผู้แข็งแกร่งถึงกับร้องไห้ออกมา

เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของพ่อ เอโกะก็น้ำตาคลอ

พ่อคงอยากให้ความรักกับฉันมากกว่านี้ และคงอยากคุยกับฉันเหมือนอย่างพ่อลูกคู่อื่นๆ

พ่อคงเหงาสินะ

พ่อที่เข้มแข็งอดทนไม่ว่าจะทำงานเหนื่อยยากแค่ไหน ตอนนี้กลับกำลังนั่งร้องไห้

การที่ลูกไม่รับความรักของตัวเองเป็นเรื่องทุกข์ทรมานอย่างนี้นี่เอง

เอโกะสะอื้นไห้

ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอจึงได้ยินเสียงของแม่

“เอโกะ! ใจเย็นลงหรือยัง ไหนเล่าให้แม่ฟังหน่อย”

“แม่ค่ะ ขอหนูคุยกับพ่อหน่อยค่ะ”

แล้วเธอก็ได้ยินเสียงสั่นๆ ของพ่อ

“เอโกะ พ่อขอโทษ พ่อไม่ดีเอง ทำให้ลูกต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ ...”

เธอได้ยินเสียงร่ำไห้ของพ่ออีกครั้ง

“พ่อคะ หนูขอโทษ หนูเองก็เป็นลูกสาวที่แย่มาก แล้วก็ขอบคุณที่เลี้ยงหนูมานะคะ.....”

เสียงของเอโกะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น

หลายวินาทีผ่านไป เสียงของแม่ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก สงบอารมณ์ได้เมื่อไหร่ค่อยอธิบายให้แม่ฟังก็ได้จ๊ะ ตอนนี้แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ”

แม้จะวางโทรศัพท์ไปแล้ว แต่เอโกะก็ยังทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่

เธอเกลียดพ่อมาตลอด 20 ปี และไม่เคยให้อภัยพ่อเลย เธอคิดมาตลอดว่าผู้ได้รับผลกระทบคือเธอคนเดียวเท่านั้น

เธอ มองเพียงด้านเดียว ไม่เคยคิดที่จะมองในมุมกลับกันเลย ความรักของพ่อ ความอ่อนแอของพ่อ ความไม่รู้ของพ่อ.....เธอไม่เคยมองเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน พ่อทุกข์ใจมากแค่ไหนกันนะ เธอทำให้พ่อต้องทุกข์ทรมานมานานแค่ไหนแล้ว

แล้วเธอก็เริ่มรู้สึกอยากขอบคุณพ่อจากใจจริง

“เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อนก็ได้ เดี๋ยวความรู้สึกก็ตามมาเอง” ในที่สุดเธอก็เข้าใจคำพูดของคุณยางุจิ

“อีกหนึ่งชั่วโมงยูตะก็จะกลับมาแล้วสินะ”

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

คนที่โทรศัพท์มาคือคุณยางุจิ

“สวัสดีครับ ยางุจิครับ ตอนนี้ผมมีเวลาสักห้าสิบนาทีเลยโทรมา เมื่อครู่ผมมีธุระเลยต้องวางสายไปทั้งๆ ที่ยังคุยค้างอยู่น่ะครับ”

“ดิฉันโทรไปหาพ่อแล้วน่ะค่ะ ดีจริงๆ ที่โทรไป ขอบคุณมากเลยนะคะ เพราะคุณยางุจิแท้ๆ”

เอโกะเล่าเรื่องที่เธอคุยกับพ่อให้ฟังคร่าวๆ

“อย่างนั้นเหรออาครับ คุณตัดสินใจถูกต้องแล้วละครับที่แสดงความกล้าออกไป”

“ดิฉัน เคยคิดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือการที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งแต่จริงๆ แล้วคือการที่ดิฉันไม่ให้อภัยพ่อมานานหลายปีต่างหากยูตะช่วยให้ดิฉันได้ปรับ ความเข้าใจกับพ่อ ปัญหาของยูตะก็มีส่วนดีเหมือนกันนะคะ”

“คุณเริ่มจะมองเห็นด้านดีจากปัญหาความทุกข์ใจของยูตะแล้วสินะครับ”

“มี กฎที่เรียกว่า “กฎของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น” ครับ เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงสิ่งหนึ่ง เราก็จะเข้าใจอีกสิ่งหนึ่งตามมา ที่จริงแล้วทุกปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของ บางสิ่ง

หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญแต่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นต่างหากนั่นหมาย ความว่า ปัญหาที่เราแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้จะไม่มีวันเกิดขึ้น เราแก้ไขได้ทุกปัญหาและถ้าพยายามอย่างเอาใจใส่ มองโลกในแง่ดี เราก็จะนึกขอบคุณในภายหลังว่า “ดีแล้วที่เกิดปัญหานั้นขึ้น เพราะนั่นทำให้ฉัน........”

“จริงด้วยค่ะ แต่ปัญหาของยูตะยังไม่หมดไป ดิฉันเลยยังกังวลอยู่ค่ะ”

“คุณ คิดว่ายังไม่ได้แก้ปัญหาเลยสินะครับ แต่ไม่แน่นะ มันอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ดีก็ได้ เพราะความรู้สึกของทุกคนเชื่อมโยงถึงกันอยู่ ถ้าแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว ผลลัพธ์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ถูกไหมครับ”

“ปัญหาจะหมดไปจริงๆ เหรอคะ”

“ขึ้น อยู่กับคุณมากกว่า เอาละครับ ลองมาสรุปกันง่ายๆก่อน ความทุกข์ของคุณในตอนนี้ก็คือยูตะไม่ยอมเปิดใจให้คุณเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ เอาไหน เป็นแม่ที่ช่วยลูกไม่ได้ และคุณก็ไม่อยากทุกข์ทรมานไปกว่านี้ ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ ใช่ค่ะ ลูกไม่เคยปรึกษาอะไรกับดิฉันเลย ทั้งที่ดิฉันอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่แกก็ปฏิเสธว่า “อย่ามายุ่ง!” ยิ่งรู้ว่าลูกโดดเดี่ยว ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน ไม่มีอะไรน่าทุกข์ใจไปกว่าการช่วยเหลือลูกตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ”

“ครับ จริงด้วยครับ ที่นี้คุณคงเข้าใจแล้วสินะครับว่านั่นคือความทุกข์ใจของใคร”

“เอ๊ะ ของใครเหรอคะ.....”

ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของพ่อลอยขึ้นมา ใช่แล้ว! ความทุกข์ทรมานนี้เป็นสิ่งที่พ่อต้องทนมานานหลายปี

ความ ทุกข์ที่ลูกสาวไม่ยอมเปิดใจให้ ความทุกข์ที่ถูกลูกสาวเกลียดมาโดยตลอด ความทุกข์ที่ไม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ในฐานะที่เป็นพ่อแม่..........

นั่นเป็นความทุกข์เดียวกับที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ พ่อทนทุกข์ทรมานกับมันมานานกว่า 20 ปีเชียวหรือ

น้ำตาไหลรินลงบนแก้มของเอโกะ

“เข้า ใจแล้วค่ะ ดิฉันได้รับรู้ถึงความทุกข์ที่พ่อเผชิญมาสินะคะ พ่อต้องทรมานมากถึงขนาดนี้นี่เอง ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมพ่อถึงร้องไห้คร่ำครวญอย่างนั้น”

“ปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญครับ”

“ดิฉันเข้าใจความทุกข์ใจของพ่อแล้วค่ะ เพราะยูตะแท้ๆ ดิฉันถึงได้คิด เป็นเพราะยูตะไม่ยอเปิดใจให้ดิฉันนี่เอง...”

“ทั้ง ลูกชาย คุณพ่อ และตัวคุณเองต่างมีความรู้สึกเชื่อมโยงกันอยู่ลึกๆ ยูตะเป็นเหมือนที่คุณเคยเป็น แล้วก็รู้สึกเหมือนที่คุณเคยรู้สึกครับ เหตุการณ์นี้เลยทำให้คุณได้คิด”

“ดิฉันอยากขอบคุณยูตะค่ะ อยากบอกเขาว่า “ขอบคุณที่ทำให้แม้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ” ที่ผ่านมาดินฉันบ่นลูกอยู่ในใจเสมอว่า ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย”

“ตอนนี้คุณเข้าใจยูตะแล้วใช่ไหมครับ”

“ใช่ ค่ะ! ตอนเป็นเด็ก ดิฉันไม่ชอบพ่อที่จู้จี้ขี้บ่น ไม่ชอบให้พ่อมายุ่งวุ่นวาย คิดดูแล้ว นั่นคงเป็นการแสดงความรักของพ่อ แต่ตอนนั้นดิฉันกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญ ตอนนี้ยูตะคงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ความรักที่ดิฉันพยายามหยิบยื่นให้กลับกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับยูตะไป”

“จริงๆ แล้วตอนเด็กๆ คุณอยากให้พ่อเป็นยังไงครับ”

“อยาก ให้พ่อไว้ใจดิฉันบ้างค่ะ อยากให้พ่อคิดว่า “ถ้าเป็นเอโกะละก็ต้องทำได้แน่ๆ !”....ดิฉันเองก็คงไม่ไว้ใจยูตะละมังคะคิดว่าถ้าไม่มีดิฉัน ลูกคงทำอะไรไม่ได้ ก็เลยถามโน่นถามนี่กับแก...ดิฉันอยากไว้ใจลูกให้มากกวานี้ค่ะ”

“คุณ เข้าใจความทุกข์ของพ่อและความทุกข์ของยูตะแล้วใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีนะครับ คุณจำเรื่องที่คุยกันได้เมื่อเช้าไหมครับ ที่ผมบอกว่า “สาเหตุที่ทำให้ยูตะลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งก็คือการที่คุณเกลียด คนใกล้ตัว”

“ค่ะ จำดะ แล้วดิฉันก็บอกว่า ดิฉันไม่ได้เกลียดสามี แต่ก็ไม่ได้เคารพ”

“ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของสามีบ้างครั้ง ลองบอกผมได้ไหม”

“ดิฉัน มักคิดว่าสามีเป็นคนไม่มีการศึกษาหรือไม่ก็ไม่มีความคิด แม้แต่กับเรื่องของยูตะ ทั้งๆ ที่ดิฉันเป็นทุกข์มากแต่เขากลับมองเรื่องนี้ในแง่ดีไปเสีย ถึงดิฉันจะบ่นให้เขาฟังแต่ก็ไม่เคยปรึกษาเขาจริงๆ จังๆ ไม่เคยคิดจะฟังความเห็นของเขาเลยค่ะ”

ถึงตรงนี้เอโกะเริ่มคิดได้ว่า เธอมองสามีด้วยมุมมองที่คล้ายกับที่มองพ่อ

“เหมือนกับที่ดิฉันมองพ่อของตัวเองเลยนะคะ”

“ใช่ แล้วครับ ส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงมองพ่อของตัวเองอย่างไรก็จะมองสามีอย่างนั้น แต่เท่าที่ผมฟังมา ดูเหมือนสามีของคุณจะไว้ใจยูตะมากเลยนะครับ”

“อ๊ะ จริงด้วยค่ะ! ดิฉันน่าจะเอาอย่างสามีนะคะ ดูยูตะจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้พ่อเขาฟังเสมอ เป็นเพราะพ่อไว้ใจ ยูตะก็เลยเปิดใจกับพ่อ ดิฉันไม่เคยมองเห็นข้อดีนี้ของสามีเลยค่ะ”

“เหรอครับ คุณคิดอย่างนั้นใช่ไหมครับ ทีนี้ผมจะให้การบ้านนะครับ จะทำหรือไม่คุณต้องลองตัดสินใจดู เมื่อตอนบ่ายผมให้คุณเขียน “สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ” และ “สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ” ตอนนี้ผมอยากให้คุณเขียนเพิ่มลงไปให้มากที่สุดจะกี่แผ่นก็ได้ครับ

“พอ เสร็จก็นำกระดาษมาอีกแผ่นแล้วเขียนหัวข้อว่า ‘ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับพ่อ’ ไม่ใช่เขียนเพื่อสำนึกผิดที่ทำไม่ดีกับพ่อนะครับ แต่เพื่อให้คุณค้นพบแนวทางในการปฏิบัติตัวกับสามี

“อีกอย่าง ตอนกลางคืน พอยูตะหลับสนิทแล้ว ขอให้คุณมองหน้าเขา และกระซิบในใจว่า ‘ขอบใจจ้ะ’ ร้อยครั้ง ฟังแล้วอยากลองทำดูไหมครับ”

“ค่ะ ดิฉันจะลองดู”

หลังจากวางโทรศัพท์ได้ไม่นาน ยูตะก็กลับถึงบ้าน

ยูตะกองกระเป๋าไว้ที่หน้าประตู หยิบถุงมือและลูกเบสบอลออกไปเล่นที่สวนสาธารณะเช่นเคย

“เมื่อวานเพิ่งถูกเพื่อนไล่กลับมาแท้ๆ ยังจะไปสวนสาธารณะอีกเหรอ” จิตใจของเอโกะเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นกังวลมากไปกว่านี้ เอโกะจึงมุ่งทำการบ้าน มีหลายสิ่งที่เธอคิดได้ว่าควรจะขอบคุณพ่อ


“สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ”

• พ่อเป็นคนงานคุมการก่อสร้าง ทำงานเหน็ดเหนื่อย เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

• เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันมักเป็นไข้ตอนกลางคืน ทุกครั้งพ่อ จะขับรถพาไปโรงพยาบาล (พ่อต้องทำงานใช้แรงงานในตอนกลางวัน เพราะฉะนั้นพ่อคงลำบากน่าดูที่ต้องนอนดึก)

• เมื่อตอนเป็นเด็ก พ่อชอบพาไปทะเลและแม่น้ำ พ่อสอนให้ฉันว่ายน้ำเป็น

• เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันชอบเมลอนมาก ทุกๆ ปีพอถึง วันเกิด พ่อจะซื้อเมลอนมาให้เป็นประจำ

• เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันเคยถูกเด็กข้างบ้านแกล้ง พ่อจึงไปที่บ้านของเด็กคนนั้นเพื่อพูดคุยกับพ่อแม่ของเขา

• ฉันเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชน พ่อออกค่าเล่าเรียนให้โดยไม่บ่นสักคำ (สำหรับครอบครัวเราในตอนนั้นถือเป็นภาระอันหนักหน่วง)

• ตอนที่ฉันได้งานทำ พ่อสั่งซูชิมากินที่บ้าน (เป็นซูชิหรูหราราคาแพงมาก แต่ฉันกลับพูดไปว่า “ไม่ชอบกินซูชิ” พ่อจึงหงอยไป)

• พ่อเปิดบัญชีให้ลูกๆ ทุกคนพร้อมทั้งบอกว่า “เผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน” และนำเงินฝากเข้าบัญชีให้แม้จะไม่มากก็ตาม (พ่อพยายามจะยื่นสมุดบัญชีนั้นให้ฉันในวันก่อนวันแต่งงาน แต่ฉันบอกว่า “ไม่อยากเดินถือไปถือมา โอนเข้าบัญชีให้ดีกว่า” และไม่ยอมรับไว้ในตอนนั้น)


“สิ่งที่อยากขอโทษ” ผุดขึ้นมาในสมองของเธออย่างต่อเนื่อง หลังจากเขียน “สิ่งที่อยากขอบคุณ”

เธอเขียน “สิ่งที่ควรขอบคุณ” และ “สิ่งที่อยากขอโทษ” พลางร้องไห้

“พ่อ รักฉันมากขนาดนี้เชียวเหรอ ถึงฉันจะดื้อแค่ไหน พ่อก็ยังรักฉันอยู่ เพราะมัวแต่ถือทิฐิไม่ยอมให้อภัย ฉันเลยไม่เคยรับรู้ถึงความรักนี้ และถึงแม้จะได้รับความรักจากพ่อมากแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรให้พ่อเลย จะตอบแทนคุณสักครั้งก็ไม่เคย”

แล้วเธอก็คิดได้ว่า เธอไม่เคยให้เกียรติอาชีพของพ่อเลย

เธอ มองว่าคนงานคุมการก่อสร้างเป็นงานที่ “ไร้สมบัติผู้ดี” หรือไม่ก็ “ไม่ต้องใช้ความรู้” ทั้งๆ ที่ตัวเองได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็เพราะพ่อทำงานหาเงินอย่างหนัก เธอเพิ่งได้คิดเป็นครั้งแรกและเริ่มรู้สึกเคารพและขอบคุณอาชีพของพ่อ

ตอน นี้เธอกำลังมองอาชีพของสามีว่า “ไม่ต้องใช้ความรู้” ความรู้สึกรังเกียจสามีว่า “ไม่มีการศึกษา” ก็เหมือนความรู้สึกที่เธอมีต่อพ่อ เพราะฉะนั้นเธอมีหลายเรื่องที่ต้องขอบคุณสามีอย่างแน่นอน

เธอคิดเช่นนั้นพลางหยิบกระดาษขึ้นมาอีกแผ่นและเขียนหัวข้อว่า “ควรปฏิบัติตัวกับพ่ออย่างไร”

ในหัวข้อนี้เธอเขียนได้โดยแทบไม่ต้องคิด


“ควรปฏิบัติตัวกับพ่ออย่างไร”

• ควรสำนึกในความรักของพ่อที่แฝงอยู่ในการกระทำและคำพูด ควรเข้าใจว่าไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าตัวเราเองหรือพ่อ

• ต้องขอบคุณต่อ “สิ่งที่พ่อทำเพื่อเรา”

• ไม่ควรเป็นเพียงผู้รับความรัก แต่ควรเป็นผู้ให้ด้วย (ควรทำให้พ่อมีความสุข)

• ถ้าไม่ชอบอะไรก็บอกไปตามตรงด้วยพื้นฐานแห่งความรัก เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกัน


และนี่คือความคิดที่ควรจะมีต่อสามี

สามีทำงานเพื่อครอบครัว

สามีเป็นคู่ชีวิตมาโดยตลอด

ฉันลืมที่จะขอบคุณเขา

นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ฉันเปิดใจมองเขา

เหมือนกับที่ฉันได้ขอบคุณพ่อ

วันนี้ฉันจะพูดขอบคุณเขา

ระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ ข้างนอกก็เริ่มมืดสลัวลง วันนี้ตั้งแต่เช้าเอโกะแทบไม่ได้ทำงานบ้านเลย

เธอโทรศัพท์ไปคุยกับคุณยางุจิตอนประมาณเก้าโมงเช้า แล้ววันนี้ทั้งวันเธอก็วุ่นอยู่กับการสังเกตตัวเอง

“แย่แล้ว ข้าวเย็นล่ะ”

ตอนนั้นเองที่ยูตะกลับมา

“แม่ฮะ ผมมีอะไรละเล่าให้ฟัง!”

“เกิดอะไรขึ้นจะ มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ”

“แม่รู้จักไทคิใช่ไหมฮะ คือ เมื่อวานนี้ที่สวนสาธารณะ ไทคิ เขาเอาลูกบอลขว้างใส่ผมละ”

“เอ๊ะ อ้าว เหรอจ๊ะ ไทคิคนที่ชอบแกล้งลูกนะเหรอ”

“เมื่อกี้ตอนผมกำลังจะกลับบ้าน ไทคิมาที่สวนสาธารณะแล้วพูดกับผมว่า “ขอโทษที่แกล้งนายนะ”

“เหรอ จ๊ะ!” เอโกะพูด เธอรู้สึกเหมือนได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ ‘เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ต้องเป็นผลจากการที่ฉันปรับความเข้าใจกับพ่อแน่ๆ’ เธอรู้สึกเช่นนั้น

เอโกะอยากคุยกับยูตะจึงตัดสินใจสั่งอาหารมากิน ระหว่างที่รอ เธอบอกกับยูตะว่า

“แม่ ขอโทษที่จู้จี้วุ่นวายกับลูกมาตลอดนะจ๊ะ จากนี้ไปแม่จะระวัง จะไม่ขี้บ่นแล้วละ ถ้ามีอะไรอยากให้แม่ช่วยก็บอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ แม่ไว้ใจลูกนะจ๊ะ”

ยูตะหน้าบานด้วยความดีใจและตอบว่า “ฮะแม่ ขอบคุณฮะ”

ความจริงแล้วยูตะก็อยากให้แม่ไว้ใจตัวเองอยู่เหมือนกัน

“วันนี้แปลกจังแฮ!” ทำไมมีแต่เรื่องดีๆ นะ” ยูตะพูดต่อ เอโกะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที

ต่อมาไม่นาน อาหารก็มาส่งที่บ้าน

“แม่จะรอพ่อกลับมาก่อน ลูกกินไปเลยนะ”

“อ้าว เกิดอะไรขึ้นฮะแม่ ปกติแม่กินก่อนี่นา”

“วันนี้แม่อยากกินกับพ่อน่ะจ้ะ พ่อทำงานกลับมาคงเหนื่อย ให้กินข้าวเย็นชืดอยู่คนเดียว น่าสงสารออก”

“ถ้าอย่างงั้นผมจะกินกับพ่อด้วย! กินด้วยกันสามคนน่าสนุกกว่านะฮะ”

“ลูกมีน้ำใจจริงๆ เหมือนพ่อเปี๊ยบเลย”

“แปลกอีกแล้ว ปกติแม่บอกว่าพ่อไม่มีสมบัติผู้ดีนี่นา”

“นั่นสินะ แม่คิดผิดไปเองแหละ พ่อเป็นคนใจดี เข้มแข็ง...เป็นลูกผู้ชายตัวจริงเลยจ๊ะ”

“ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จะหางานที่ดีกว่างานของพ่อไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“ขอ โทษจ๊ะ แม่คิดเรื่องนี้ผิดไปเหมือนกัน งานของพ่อเป็นงานที่ดีมาก เป็นประโยชน์ต่อ คนอื่นๆ ถ้าพ่อไม่ตั้งใจทำงานเราคงไม่มีข้าวกินอย่างนี้หรอกจ้ะ ต้องขอบคุณพ่อด้วยนะ”

“แม่คิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอครับ”

“จ้ะ จริงสิจ๊ะ”

พอเอโกะพูดอย่างนั้น ยูตะก็ยิ้มดีใจอย่างที่สุด

ลูกจะเดินตามรอยเท้าพ่อแม่โดยสัญชาตญาณ

คำพูดของเอโกะเสมือนเป็นสัญญาณไฟเขียวให้ยูตะเคารพพ่อ ซึ่งทำให้ยูตะดีใจกว่าคำพูดอื่นใด

ผ่านไปครู่ใหญ่ สามีของเธอกลับมาบ้าน แล้วทั้งสามก็กินข้าวหน้าไก่ด้วยกัน

อาจเป็นเพราะดีใจที่มีคนรอกินข้าว สามีของเธอจึงอารมณ์ดี เขากินข้าวหน้าไก่เย็นชืดพลางพูดว่า “อร่อย อร่อย” ตลอดเวลา

ระหว่างที่สามีของเธอกำลังอาบน้ำ ยูตะก็เข้านอน

พอยูตะหลับสนิท เอโกะก็มองหน้าเขาและเริ่มกระซิบในใจว่า “ขอบใจจ้ะ”

คำคำนั้นทำให้เธอรู้สึกขอบคุณลูกจากใจจริง

“ฉันโทษลูกมาตลอดว่าทำให้ฉันต้องทุกข์ใจ แต่เพราะลูกฉันจึงได้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ ความจริงแล้ว ลูกคือคนนำฉันไปในทางที่ดีต่างหาก”

พอคิดเช่นนั้น เธอก็มองเห็นลูกเป็นเทวดาตัวน้อย

แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว วันนี้ช่างเป็นวันแห่งการร้องไห้จริงๆ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มีโทรสารส่งมา

ข้อความนั้นเป็นลายมือของแม่



ถึงเอโกะ

พ่อเล่าเรื่องวันนี้ให้แม่ฟังแล้ว

พ่อเล่าไปร้องไห้ไป

แม่เองก็ดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน พ่อบอกว่า “ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาเจ็ดสิบปี วันนี้เป็นวันที่ดีใจที่สุด”

ปกติพ่อจะดื่มเหล้าไปด้วยตอนกินข้าวเย็น แต่วันนี้พ่อบอกว่า “เมาแล้วเดี๋ยวก็ไม่ได้ดีใจกันพอดี เสียดายนะ” พ่อก็เลยไม่ดื่ม

จะกลับมาบ้านอีกเมื่อไหร่ล่ะ

จะรอน่ะจ๊ะ


“พ่อไม่เคยขาดเหล้าได้เลยแม้แต่วันเดียว ถึงขนาดไม่ดื่มเลยหรือ...”

คำ พูดที่ฉันบอกกับพ่อทำให้พ่อมีความสุขได้ถึงขนาดนั้นเชียว ที่ผ่านมาแม้จะป่วยแค่ไหน พ่อก็ไม่เคยหยุดดื่มเหล้าคงเพราะพ่ออยากลืมความเหงากระมัง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเอโกะอีกจนได้

“เป็นอะไรไปนะ ร้องไห้เหรอ” สามีของเธอถามขณะเดินออกมาจากห้องน้ำ

เอโกะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้สามีฟัง

ตอน เช้า เธอโทรศัพท์ไปหาคุณยางุจิ และ ในช่วงเช้าเธอก็เขียนระบายความคับแค้นใจที่มีต่อพ่อ รวมถึงความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงลงกระดาษ ตอนบ่าย เธอโทรศัพท์ไปหาพ่อและได้ปรับความเข้าใจกัน ...

“งั้นเหรอ พ่อก็ร้องไห้เหมือนกันเหรอ” สามีของเธอน้ำตาคลอเบ้าขณะตั้งใจฟัง และ เธอก็เล่าให้สามีฟังถึงเพื่อนขี้แกล้งที่มาขอโทษยูตะ

“อืม เรื่องแปลก ๆ นี่ก็เกิดขึ้นได้เหมือนกันนะ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของคุณยางุจิเท่าไหร่หรอก แต่ก็ดีนะที่คุณสบายใจขึ้นแล้ว”

แล้วเอโกะก็ร้องไห้พลางขอโทษสามี

“ขอบคุณนะคะ ฉันต้องขอบคุณคุณจริง ๆ วันนี้ฉันรู้สึกเคารพคุณมากเลย ขอโทษด้วยนะคะที่เมื่อก่อนฉันไม่เคยมองเห็นความดีของคุณเลย”

เมื่อได้ฟังคำของเอโกะ น้ำตาเม็ดโตก็ไหลออกมาจากดวงตาของสามีเช่นกัน

วันต่อมา เอโกะโทรศัพท์ไปหาคุณยางุจิ และกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง

ดูเหมือนว่าสามีของเธอก็โทรศัพท์ไปหาเขาตั้งแต่เช้าเช่นกัน

“ผม ได้รับโทรศัพท์จากสามีของคุณแล้วละครับ ยินดีครับที่คำแนะนำของผมเป็นประโยชน์ ผมนับถือคุณมากที่ทำเรื่องกล้าหาญเช่นนั้นได้ เอาละครับ ขั้นตอนต่อไปสำคัญมาก จากนี้ไปทุก ๆ วัน คุณต้องแบ่งเวลาสำหรับพูดในใจว่า “ขอบคุณนะ” หนึ่งร้อยครั้งทั้งกับคุณพ่อ สามี และ ยูตะครับ”

เย็นวันนั้น

“กลับมาแล้วฮะ!” ยูตะกลับมาพร้อมเสียงอันร่าเริง

“แม่ฮะ ฟังนะฮะ! วันนี้เพื่อนชวนผมไปเล่นเบสบอลด้วยละ! เดี๋ยวผมไปเล่นก่อนนะ!”

ยูตะคว้าถุงมือได้ก็วิ่งออกไปทันที

เอโกะน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง เธอตื้นตันจนพูดไม่ออกแม้แต่คำว่า “ไปเถอะจ๊ะ”




แฟกซ์

เรียน คุณเอโกะ อาคิยามะ

กระจกที่เรียกว่าชีวิตทำให้เรารู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ

ผมนับถือความกล้าหาญของคุณนะครับ

มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากขอร้อง

ประสบการณ์ของคุณในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายคนในอนาคต ขอให้คุณถ่ายทอดประสบการณ์นี้ให้พวกเขาด้วยนะครับ

ขอให้ชีวิตของคุณเปี่ยมไปด้วยความรัก ความ สำนึกรู้คุณ และ ความสุขครับ!

ยางุจิ

Add your size(s) here ใส่ขนาดของคุณลงไป

http://www.sizeasy.com/page/size_comparison/22752-X61-vs-Samsung-X360-vs-1000HE-vs-901
กำลังหาว่า ขนาดของ eee 901 เล็กกว่า eee 1000HE เพียงไร (eee คือรุ่นของ netbook)
เลยเจอเวปนี้เข้าครับ

วิธีใช้คือ เราต้องใส่ข้อมูลขนาดของสิ่งที่เราต้องการจะเปรียบเทียบ กว้างยาวสูง แล้วมันจะจำลองภาพสามมิติให้ดูคร่าวๆครับ สะดวกดี มีของให้เลือกเทียบขนาดไว้ด้วย เช่นกระป๋องน้ำ ซีดี กระดาษ ไว้ใก้เทียบขนาด

get Manuals หาคู่มือ

http://www.retrevo.com
ไว้หาคู่มือของอุปกรณ์ต่างๆครับ คอม กล้อง ฯลฯ

วันอาทิตย์, เมษายน 12, 2552

Addictomatic: เกาะติดทุกประเด็น

http://addictomatic.com/
เป็นเวปที่รวมเอา search ของเวปต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เรียกว่าค้นที่เดียว กระจายไปได้หลายเวปทีเดียวครับ

เวปที่เค้ารวมไว้มีดังนี้


Google News
Google Blog Search
topix
YouTube
technorati
Yahoo News
Blinkx Mainstream Vid News
Flickr
Newsvine Tags
icerocket
Delicious Tags
Digg
Addicto Top Blogs - Bloglines
Truveo Video Search
Bloglines
Yahoo Top News Sources
Ask.com News
Google News Images
Twitter Search
Yahoo Web Search
Wordpress.com
Live.com News
Wikio
Twingly Blog Search
Friendfeed

The Truth Behind 'Orbs'

http://www.ghostgadgets.com/_knowledge/orbs.html
ความจริงวันนี้ เบื้องหลังปรากฏการณ์ที่เมื่อสักสองปีก่อนเรียกกันว่าถ่ายรูปติด"องค์จตุคาม"

หลักการ
Diagram 1





   
Point "A" represents the camera lens's inverted focal point (the point that an object must be past to be in-focus), and "B" represents the way light travels into the lens. The dust particles that are closer than point "A" will be out-of-focus, and appear as false-positive dust orbs.









Diagram 2






   
Point "P" represents the distance the dust particles are away from the camera lens, and "A" again represents the camera lens's inverted focal point (the point that an object must be past to be in-focus). This diagram shows how dust particles become out of focus as they get closer to the camera lens.


ตัวอย่าง

Contaminant: Out-of-Focus Dust

Camera: Hewlett-Packard PhotoSmart 315 Digital

Even though it looks like a mist, it's still just dust!





แนวทางป้องกัน





วันศุกร์, เมษายน 10, 2552

CCTV (Closed Circuit Television)


ด่วนประชาชื่น

ด่วนดินแดง

หน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์




รพ.มิตรภาพ เมโมเรียล


ปั๊มปตท.คลองหลวง



ลิ้งค์มาจาก http://203.185.97.7/wtraffy/