แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ lifeisbeautiful แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ lifeisbeautiful แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 11, 2555

สามก๊ก เอ้ย 3Q

อ่านสามก๊กจบสามรอบ อาจเข้าใจคนมากขึ้น

อ่าน 3Q สักรอบ อาจเข้าใจตนสักนิด



ความฉลาดทางจริยธรรม หรือที่รู้จักในนาม MQ (Moral Oral Quotient) หมายถึง ความฉลาดทางจริยธรรมหรือศีลธรรม  ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี นอกเหนือไปจาก IQ ความฉลาดทางสติปัญญา หรือ EQ ความฉลาดทางอารมณ์  หรือความฉลาดในการเข้าใจและควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ของตนเอง 

               MQ  นอกจากจะหมายถึงคุณธรรมที่ดี อีกมุมหนึ่ง หมายถึง ระดับความเห็นแก่ตัวด้วย การมีความฉลาดทางจริยธรรม ย่อมส่งผลให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ ไม่เห็นแก่ตัว คิดดี ทำดี และพูดดีด้วย มีความเมตตาปรานีและรู้จักให้อภัย ลักษณะนิสัยดังกล่าว ไม่สามารถฝึกฝนได้ในช่วงเวลาสั้นๆ  การที่บุคคลหนึ่งจะมี MQ ในระดับดีนั้น จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังให้มีพื้นฐานตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีแรก หากเด็กได้รับการปลูกฝังด้านศีลธรรม การรู้จักให้ความรัก และการปลูกฝัง MQ ตั้งแต่วัยเยาว์ โดยการสอน หรือ การปฏิบัติตนของผู้ใหญ่ให้เป็นตัวอย่าง จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้บุคคลสามารถพัฒนา MQ ได้ในระดับหนึ่ง ส่วนจะฝังลึกลงไปในจิตสำนึกมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการได้รับการปลูกฝัง ซึ่งจะรอการกระตุ้นอีกครั้งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้รับการอบรมพัฒนาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นในด้านการฟัง เช่น การฟังเทศน์ ฟังธรรม ฯลฯ การอ่านหนังสือธรรมะ เป็นต้น เพราะการปลูกฝังที่ไม่เท่ากันนี้เอง ทำให้พบว่าเราทุกคนต่างมีเพื่อนที่มีระดับคุณธรรมจริยธรรมไม่เท่ากัน ทั้งๆที่ บางคนเรียนจบมาจากสถาบันเดียวกัน และยิ่งหากบุคคลใดไม่มีอยู่ในจิตสำนึกดั้งเดิมแล้ว ไม่ว่าโตขึ้นจะได้รับการกระตุ้นอย่างไร ก็ไม่สามารถ ทำให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้

การพิจารณาบุคคลตามลักษณะของ 3 Q แบ่งเป็น 8 ประเภท

ประเภทที่ 1   IQ สูง  EQ สูง  MQ สูง     
เรียกว่าเลิศไปทุกด้าน เป็นบุคคลตัวอย่าง

ประเภทที่ 2   IQ สูง  EQ สูง  แต่ MQ ต่ำ     
เป็นบุคคลประเภทฉลาด ความรู้ดี แต่ขี้โกง ฉลาดแกมโกง อารมณ์ดี เก็บความรู้สึกเก่ง ไม่คำนึงถึงศีลธรรม

ประเภทที่ 3   IQ สูง EQ ต่ำ  MQ สูง       
เป็นคนมีความรู้ดี แต่อารมณ์อ่อนไหว ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ โกรธง่าย แต่เป็นคนซื่อตรงไม่คดโกง ไม่ทำร้ายใคร เข้าตำราปากร้ายใจดี

ประเภทที่ 4   IQ ต่ำ แต่ EQ สูง และ MQ สูง      
เป็นประเภทมีความรู้น้อยแต่ก็สุขุม ควบคุมอารมณ์ได้ ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม

ประเภทที่ 5   IQ ต่ำ  EQ ต่ำ แต่ MQ สูง     
เป็นคนมีความรู้น้อย ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ขี้โมโห แต่ก็เป็นคนซื่อตรงไม่คดโกง ปากร้ายใจดี

ประเภทที่ 6   IQ ต่ำ  EQ สูง  MQ ต่ำ     
ประเภทนี้หายากแต่ก็พอมี ลักษณะเป็นคนที่มีสติปัญญาค่อนข้างต่ำ เรียนไม่เก่ง คิดไม่ค่อยทันชาวบ้าน มีนิสัยเป็นคนใจเย็น แต่อาจทำอะไรโดยขาดเหตุผล ไม่ค่อยใช้ความคิดจึงทำผิดศีลธรรมได้ง่าย เช่น การลักเล็กขโมยน้อย หรืออาจเป็นคนปัญญาอ่อน ที่ทำอะไรผิดเพราะขาดความยั้งคิด

ประเภทที่ 7   IQ สูง แต่ EQ และ MQ ต่ำ     
มีความรู้ดี ฉลาด ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่คำนึงถึงศีลธรรม เป็นตัวโกงในอุดมคติของลิเกไทย จอมวางแผนชั่วร้าย

ประเภทที่ 8   IQ  EQ และ MQ ต่ำ     
แบบนี้คงหายาก เพราะไม่มีส่วนดีเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้ การควบคุมอารมณ์ และระดับจริยธรรมในใจ อาจจะเป็นคนที่มีปัญหาทางจิตหรือโรคจิต

             เชื่อว่าต่อไปนี้..นอกจากท่านจะให้คำตอบแก่ตัวเองได้แล้ว...ท่านคงไม่สงสัยพฤติกรรมของคนที่รู้จัก/ใกล้ชิดกันอีก ....ที่สำคัญเมื่อรู้แล้วควรหมั่นนำมาใช้ตรวจสอบทบทวนตัวเองเป็นระยะๆ กันเพื่อเป็นการพัฒนาตัวเอง....

"ที่มา...มุมจริยธรรม..จุลสารพัฒนาข้าราชการพลเรือน  ฉบับเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2549"

วันอังคาร, กรกฎาคม 31, 2555

คมคำคน

“ย่อมมีคนอยู่สองคนอยู่ในรูปภาพแต่ละรูป: คนถ่ายภาพและคนดูภาพ” – Ansel Adams

“สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่กล้องถ่ายรูป แต่อยู่ที่มุมมอง” – Alfred Eisenstaedt

“คุณไม่ควรเชื่อตาของคุณถ้าจินตนาการของคุณมันไม่ชัดเจน” – Mark Twain

“ถ้าภาพของคุณยังไม่ดีพอ แสดงว่าคุณยังเข้าใกล้สิ่งที่คุณต้องการถ่ายไม่มากพอ” – Robert Capa

“ภาพถ่ายเป็นภาพที่ถูกระบายสีด้วยแสงอาทิตย์” – ไม่ระบุชื่อ

เขียนโดย plasticpopsicle และแปลโดย mayhalvorsen
 

อ่านมาจาก

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 14, 2555

คิด(โคตร)บวก+มองโลกในแง่ดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา


ฉันก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ที่ดีแล้วนะ
เธอก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ที่ดีแล้วนะ
ยิ่งเธอพบคนที่ดีพร้อมยิ่งขึ้นไปกว่าฉัน
มันก็ยิ่งจะดีดีดี ขึ้นไปอีกสินะ

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 17, 2555

Brain negative processed

จ้องจุดบนจมูกสาวคนนี้ 30 วิ แล้วรีบมองพื้นขาวข้างๆ แล้วกระพริบตาถี่ๆ

Stare at the colored dots on this girl’s nose for 30 seconds, then quickly look at a white wall or ceiling (or anything pure white) and start blinking rapidly. Congratulations, you just processed a negative with your brain! A question for you GSF, how is this possible?

(This is a brilliant ad, but we are not endorsing it by any means, we are interested in the science of the brain)


วันศุกร์, ธันวาคม 23, 2554

จำมาจากคอร์ส "การบริหารจัดการเวลา"

"เราใช้เวลาหนึ่งในสามของชีวิตกับที่นอน ดังนั้น ลงทุนกับ ห้องนอน ที่นอน ให้ดีหน่อย"

"ถ้าเจอเหตุงี่เง่าแล้วเราหงุดหงิด  เราจะเป็นแค่ reactive ของเหตุนั้น"  จงรู้จักเล่นในบท proactive พลิกแนวคิดให้ได้ วิเคราะห์สถานการณ์ เหตุแห่งความงี่เง่า แล้วจะไม่หงุดหงิด 

"เวลาเกิดเหตุ ที่ไม่เป็นไปตามที่คิด แล้วคิดว่า เสีย ให้มองหา อะไรที่ ได้ จากเหตุนั้น แล้วมาลบจากเสีย " เศษเกินคือกำไร


"ที่ยังไม่ตาย รออะไร"  แปลว่า ให้ทำซะ จะได้ไม่เสียชาติเกิด แถมให้ลิสว่า มีอะไรในชีวิต ที่คิดว่าอยากทำ ก่อนตายขอทำ ตายไปไม่ได้ทำ เสียดาย


"Just the way you are" จีบสาว อย่าเปลี่ยนตัวเองจนไม่ใช่ตัวเอง เข้าไปแบบที่เปนเรา


"Begin with the end in mind" จะทำอะไร ต้องเล็งเห็นแล้วว่านำไปสู่อะไร  (ไม่มีคำว่าทำไปเพื่ออะไร) จารย์บอกมาจากหนังสือ seven habit 


"minimum standard or standard of excellence"  แต่ละคนต้องมีบทบาทที่หลากหลาย ควรเล่นให้ครบทุกบทบาท แค่ด้วยระดับช่วงมาตรฐานที่แตกต่างตามความสำคัญ และบทบาทเหล่านั้น นำไปสู่ "ที่ยังไม่ตาย รออะไร" หรือไม่ 


"เร่งด่วน สำคัญ" ตารางแมททริกสำหรับจัดความสำคัญก่อนหลังของงาน


-------------------------------------------------------------------------

อยากถามอาจารย์ในคลาสอบรม เรื่องการบริหารจัดการเวลา ว่า 

"มีแฟน เสียเวลาไหม จารย์"

แต่เปลี่ยนใจ หันมาถามน้องข้างหลังแทน

น้องตอบว่า

"ถ้าไม่แต่ง เสียเวลา"



วันพุธ, สิงหาคม 24, 2554

ความคิดไม่ใช่ของเรา

: ตอนที่พยายามเปลี่ยนความคิดแล้วมันไม่ยอมเปลี่ยนตามที่เราต้องการนี่แหละครับ 


เป็นโอกาสทองที่เราจะเห็นความจริงอันเป็นหนึ่งในแก่นความรู้ทางพุทธศาสนา 

~ นั่นคือ ความคิดไม่ใช่ของเรา 


ความคิดไม่ใช่สิ่งที่บังคับบัญชาได้ตามปรารถนา 
ความคิดเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมจรมารบกวนจิตใจชั่วคราว 
หรือสรุปย่นย่อคือ "ความคิดเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีเราในความคิด"



: วิธีกำจัดความคิดร้ายๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าตามรู้จนยอมรับได้จริงๆว่า 

มันมาเอง คุณไม่ได้เชิญ และมันไม่ใช่คุณ



: เวลาฝึกเห็นความคิดร้ายๆ อย่าฝึกด้วยการคาดหวังว่ามันจะหายไปหรือไม่เกิดอีก 


ฝึกด้วยการยอมรับว่าเรากำหนดไม่ได้ว่าจะมาจะไปกี่พันครั้ง


: ถ้าใจเจ็บ ไปสั่งให้มันไม่เจ็บไม่ได้หรอกครับ 

แต่เรารู้ได้ว่ามันมีเจ็บมากบ้าง น้อยบ้าง ไม่สม่ำเสมอ นั่นคือที่สุดที่เราจะรู้ 


: ยอมรับตามจริงว่ามันเกิดขึ้ 


จะได้ค่อยๆเห็นครับว่ามันเกิดเอง เดี๋ยวก็หายเอง 
ไม่ใช่เราสักหน่อย ท่องไว้ 
อย่าว่าตัวเอง ให้รู้สึกถึงความขัดแย้งทางใจ 
มันเกิดให้ดูได้ ก็หายไปให้ดูได้ แค่นั้นแหละครับ 


: ศัตรูของคุณไม่ใช่คนอื่นที่คิดร้ายกับคุณ 

แต่เป็นความคิดร้ายของคุณที่มีต่อคนอื่นต่างหาก


: ต่อให้เป็นศัตรูตัวฉกาจก็ไม่มีทางทำร้ายคุณได้บ่อยๆ 

มีแต่ความคิดในหัวตัวเองเท่านั้นที่ทำร้ายคุณได้ทุกนาที


: ตามดูตามรู้สุขทุกข์อยู่ ในที่สุดจะเห็น "ความไม่เที่ยง" 

ตามดูตามรู้ความไม่เที่ยงอยู่ ในที่สุดจะเห็น "ความไม่น่ายึดมั่น" 

ตามดูตามรู้ความไม่น่ายึดมั่นอยู่ ในที่สุด "จะเห็นนิพพาน" !



 

รวบรวมวาทะดังตฤณ : "ความคิด"
http://www.facebook.com/note.php?note_id=192325387460529

วันอังคาร, สิงหาคม 23, 2554

ความเอยความรัก

ในความคำนึงของเด็กๆ (เมกา)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

บ่ายวันหนึ่ง ในประเทศอเมริกา อาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง เดินเข้าไปยังโรงเรียนประถม เพื่อที่จะทำงานวิจัยชิ้นหนึ่ง พวกเขาเดินเข้าไปในห้องเรียน แล้วตั้งคำถามกับเด็กๆ ประถมว่า หนูๆ จ๊ะ หนูคิดว่า  ความรัก หมายความว่าอย่างไร  ลองมาดูคำตอบเหล่านี้กัน แล้วจะพบว่า เด็กๆ มีมุมมองในเรื่องความรัก น่ารักมาก... หนูๆ มองความรัก กันแบบตรงไปตรงมา และตอบคำถามได้อย่างกินใจเป็นที่สุด


 ตอนนั้น คุณย่าปวดหลังมาก ก็เลยก้มลงทาสี ที่เล็บเท้าไม่ได้ คุณปู่จึงช่วยทำให้ ทั้งๆ ที่ ตอนนั้น คุณปู่ ก็เจ็บข้อมืออยู่เหมือนกัน หนูว่า นี่แหละค่ะ คือความรัก”Rebecka 8 ขวบ

 

 

 

 ความรักก็คือ เมื่อผู้หญิงใส่น้ำหอม และผู้ชายก็ใส่น้ำหอมเหมือนกัน เค้าทั้งสองออกไปเที่ยว แล้วต่างคนก็ต่างสูดกลิ่นหอมของแต่ละฝ่ายคับ

 

Karl 5 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่คุณไปกินมื้อเที่ยงที่แมคโดนัลด์ แล้วคุณก็เอาเฟรนซ์ฟรายทั้งหมดให้กับคนที่คุณนั่งอยู่ด้วย โดยที่คุณไม่ได้ขออะไรจากเค้าคั

 

Danny 7 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เมื่อมามี๊ชงกาแฟ แล้วก็ชิม ก่อนที่จะเอาไปให้แดดดี๊ เพื่อดูว่ารสชาดอร่อยพอหรือยังค่ะ”  

 

Chrissy 6 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่คุณบอกกับเค้าว่า เสื้อตัวที่ใส่อยู่ สวยดีนะ แล้วหลังจากนั้น เค้าก็ใส่เสื้อตัวนั้นทุกวันคับ

 

Noelle 7 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่มามี๊ ให้ไก่ชิ้นที่น่ากินที่สุดกับ แดดดี๊ค่ะ 

 

Elaine 5 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่แม่ คิดว่าพ่อน่ารัก และแม่ก็บอกพ่อบ่อยๆ ว่า พ่อน่ะ ดูหล่อกว่า แฮริสัน ฟอร์ด เสียอีก

 

Chris 8 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่หมาเลียที่หน้าหนู ถึงแม้หนูจะทิ้งให้มันอยู่ตัวเดียวที่บ้านทั้งวัน

 

Marry Ann 5 ขวบ

 

 

 

เวลาที่คุณรักใครสักคน ขนตาของคุณจะกระพริบ แล้วคุณก็จะเห็นดาวดวงเล็กๆ หลายๆ ดวงค่ะ

 

Karen 7 ขวบ

 

 

 

แม่รักหนูมากที่สุด เพราะแม่จะจูบหนูก่อนเข้านอนทุกคืน

 

Clare 5 ขวบ


ความรักก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง เพียงแค่เราใช้ความรู้สึก และเข้าไปสัมผัสให้ถึงแก่นของมัน.... ขอให้ทุกท่านได้พบกับความรักที่ดี

วันจันทร์, สิงหาคม 08, 2554

รวมเพลงชีวิตสดใส

ก็ตรงข้ามกับ รวมเพลง เฉ้า http://notbirth.multiply.com/journal/item/489

ขอไว้ละกันว่า ทุกคอมเม้นหรือรีพายที่จะมีต่อจากนี้

ขอให้ท่านช่วยแปะยูทูปเพลงที่ฟังแล้วชีวิตสดใส มีหวัง ที่ท่านแนะนำให้ฟังด้วยละกัน

แบบว่าอยากรวมไว้ที่เดียวเวลาฟังก็ไล่ฟังเลย อิอิ

วันจันทร์, สิงหาคม 01, 2554

พ่อฉันผู้เป็นใบ้

 

ไปเจอมาครับ เลยนำมาลง

----------------------------------------------------------------------------------------------

 

หลายคนซาบซึ้งจากโฆษณาตัวนี้แล้ว ผมก็คนนึงละ เลยอดไม่ได้ที่จะไปสืบเสาะหาที่มา มาเล่าสู่กันฟัง ว่าเรื่องจริงมิได้ด้อยไปกว่าในโฆษณาที่เราได้รับชมกันเลย

เรื่องราวคนขายเต้าหู้ คือพ่อฉันผู้เป็นใบ้

เรื่องจริงที่เปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์ เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่

ตอนเหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว

“เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ เต้าหู้อร่อยจ้า – เสียงนี่เป็นของฉัน คนขายคือพ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้”

ตราบถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเองไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้น่าอัปยศเพียงใด ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้

Image

ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้และเจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้ มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา

น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม) ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้ ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่าฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ในที่สุด ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก ทว่าพ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้ นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น

Image

ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร ไม่รู้ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อตนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

เสื้อม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัดเย็บให้ตั้งแต่ปี 1979 พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992 ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบานขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือฉันอย่างพิถีพิถัน ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ เมื่อฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้ หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ


บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆคน ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้ พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็มๆ พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉันขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย


ปี 1996 ฉันเรียนจบได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม. เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม

ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น

เรื่องราวต่างๆหลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง……… มีคนเดินทางจำได้ว่าผู้ประสบเหตุคือลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู ดังนั้น พี่ใหญ่พี่รอง สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ทุกคนได้แต่ร้องไห้เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่ พ่อใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยัดใส่มือคนขับรถ พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาส่งโรงพยาบาล พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ


หลังจากพยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น และเปรยกับพี่ๆ ว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้ หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า ชุดสวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องเลย น้องสาวคุณไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่ หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่ ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้

Image

ทันใดนั้นพ่อคุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า พร้อมกับชูมือสองข้างกลับฝ่ามือไปมาสองรอบ นั่นหมายความว่า ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้ ผมมีเงิน ตอนนี้ก็มีอยู่4 พันหยวน 

หมอจับมือพ่อพร้อมกับสั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้ กำมือแน่น หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่ เห็นหมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้ แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก เรื่องเงินเราจะหาทางออก พี่ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป ไม่ทันแปลจบ หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน


พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใครๆเห็นแล้วต้องร้องไห้ หมอบอกอีกว่า ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร พ่อตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก หมายความว่า ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน ฉันถูกนำเข้าห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรู

พ่อไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปากหลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้องสิบกว่าชั่วโมง พ่อทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้

ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรักจากพ่อ ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา มีเพียงพ่อคนเดียวที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวดให้ฉันกล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออออเรียกฉัน เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สดๆรอลูกอยู่” 

เพื่อเอาใจหมอและพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน ทำเต้าหู้ร้อนๆถาดใหญ่ มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม แม้โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้ พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น

พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่

ระหว่างนั้น เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้ ความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา ได้รับความสนับสนุนเพียงพอที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย ชาวบ้านต่างออกเงินช่วยเหลือ พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอ ทว่าชัดเจนดังนี้ คุณจัง 20 หยวน คุณลี่100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน……

Image

ในที่สุดฉันฟื้นขึ้นมาจนได้ตอนเช้าตรู่วันหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา ผมขาวโพลนของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น ครึ่งเดือนก่อนพ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี หัวโกนจนเกลี้ยงของฉันเริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ

เวลาผ่านไปครึ่งปี ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้ พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยองๆกับพื้น เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืนและเดินได้

ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉยๆ ฉันจึงเช่าเพิงเล็กๆ ใกล้บ้านให้พ่อทำเป็นโรงเต้าหู้ เต้าหู้ที่พ่อทำ รสชาตินุ่มหอมก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ให้พ่อ แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน แต่ท่านย่อมทราบดี ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำจองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย จนตัวฉันเองก็ใจไม่ถึงพอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน


ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ แต่แล้ว พ่อผู้ใบ้ของฉันกลับสอนให้ฉันเข้าใจว่า อันที่จริงแล้ว สังคีตอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือปลอดเสียง อันเป็นพลังที่ไม่พึงสงสัย ทำให้ฉันตีความความรักให้สูงขึ้นไปอีก

ขอให้เราปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เพราะชีวิตเราได้มาไม่ง่าย มีโอกาสพบกันถือเป็นบุญวาสนา
ขอให้เราปรนนิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที เพราะหลังจากท่านสิ้นบุญแล้วจะเหลือแต่ความรำลึก
ขอให้เราปฏิบัติต่อคู่ชีวิตด้วยความจริงใจ เพราะหลังจากจากกันแล้วจะไม่มีโอกาสจูงมือกันเดินเที่ยว 
ขอให้เราทะนุถนอมการเจริญเติบโตของบุตร เพราะเมื่อถึงเวลาอันควรจะไม่มีโอกาสได้โอบกอดลูกๆอีก
ขอให้เราทุ่มเทและให้อย่างเต็มที่ ขอบคุณและอุทิศโดยไม่เห็นแก่ตัว ต่อการพบปะในบุญวาสนาทุกโอกาส 

วันพุธ, กรกฎาคม 27, 2554

Give them a lesson!

ขอบคุณคุณหมออุทัยวรรณ ส่งมาให้อ่านครับ

เข้าใจว่ามาจากที่นี่   White Heart - Discover you Ordinary Heart to find you Extraordinary Life! 

------------------------------

รถโดนกรีดยาง

          คำถามหนึ่งที่คนทั่วไปชอบถามเวลาเจอหน้า คือ ผมโกรธบ้างหรือไม่ ผมก็จะยิ้มๆ และตอบว่า เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ย่อมต้องมีความโกรธ แต่โชคดีไม่บ่อยนัก และเวลาโกรธส่วนใหญ่จะไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา คือ ความโกรธยังไม่ล้นออกมาทางคำพูดและการกระทำ ยังพอควบคุมหรือมีสติเห็นทัน ส่วนใหญ่มักจะเห็นใจที่เดือดอยู่ปุดๆ จะปุดมากปุดน้อย ก็ขึ้นอยู่กับระดับของเหตุการณ์นั้นๆ

         โชคดีที่ระยะหลังๆ มานี้ ไม่ค่อยมีอาการปุดๆ ในใจเลย นานๆ จะเกิดสักที คนที่จะสามารถทำให้ผมโกรธได้ต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ เรียกว่าต้องเป็นครูสอนธรรมะระดับเทพเชียวล่ะ

          หลายปีก่อน มีเหตุการณ์หนึ่งที่เราได้ ‘เห็น’ ความโกรธชัดเจนที่วิ่งเข้ามาเยือนจิตใจ บ่ายวันหนึ่งผมต้องไปงานศพกะทันหัน ไม่ได้ทราบก่อนล่วงหน้าจึงไม่ได้เตรียมใส่ชุดดำ คนขับรถก็ลาพอดี จึงต้องขับรถกลับมาที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป ปกติที่ออฟฟิศมีที่จอดรถประจำ ปรากฏว่าวันนั้นมีคนอื่นมาจอดรถในที่ของผมเองและของบริษัทหมด วนรถอยู่นานพอสมควรเลยตัดสินใจจอดในที่ของคนอื่น เพราะเห็นว่าว่างๆ อยู่ คิดในใจว่าขออนุญาตจอดสัก 10 นาที วิ่งไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาคงไม่เป็นไร เจ้าของที่คงยังไม่มา

          พอเปลี่ยนเสื้อกลับมาที่รถ ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของที่จอดนั้น มาจอดขวางรถเราเอาไว้ แถมยังเข้าเกียร์ล็อคไว้อีกต่างหาก เลื่อนไม่ได้ ตอนแรกกะว่าจะวิ่งไปหายามให้ช่วยไปเชิญเจ้าของรถมาเลื่อนให้ แต่เกรงว่าจะไปงานศพไม่ทัน เลยตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไป

           คืนนั้น กว่าจะสวดศพเสร็จ กว่าจะรํ่าลาเจ้าภาพก็ดึกพอสมควร ผมก็นั่งรถแท็กซี่กลับไปที่บ้าน ลืมเรื่องรถไปเลย

           เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินมาที่รถซึ่งจอดเอาไว้เมื่อคืน ตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น เพราะยางรถแบนแต๋ดแต๋ติดพื้น 2 ล้อเลย พอเห็นยางรถแบนเท่านั้น ความโกรธก็วิ่งเข้ามาในใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นอาการบางอย่างที่ไม่เคยเห็นอยู่ในใจ แต่พอเรามีสติเข้าไป ‘เห็น’ ความโกรธที่วิ่งเข้ามา ก็หายไปโดยฉับพลัน ความโกรธไม่มีเลย ใจกลับเป็นปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากกับตัวเอง ส่วนใหญ่จะโกรธกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่า อย่าโกรธ อย่าโกรธ แต่พอเผลอแว็บ ความโกรธก็จะวิ่งเข้ามาสู่ใจ

           

แต่พอมีสติเข้าไปเห็นทันความโกรธเท่านั้น ความโกรธเงียบหายไป จำได้ว่าโกรธอยู่เพียง 3-5 วินาทีเท่านั้น เร็วมากๆ แล้วความโกรธก็หายไป ไม่รู้หายไปไหน ไม่กลับมาอีก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์จากชั้นที่จอดรถมาบนออฟฟิศ เราเกิดปัญญาบางอย่างที่จะจัดการกับเหตุการณ์นี้ด้วยสติ เป็นปัญญาที่ปกติตัวเองจะไม่สามารถคิดได้ขนาดนั้น มันเหมือนเป็นอาการสว่างวาบแล้วเกิดปัญญา ประมาณนั้น!

           พอถึงออฟฟิศ ผมก็สั่งเลขาฯ ให้ไปตรวจสอบว่า เจ้าของรถทะเบียนคันที่จอดรถขวางผมคือใคร แล้วช่วยจัดดอกไม้ให้หน่อย เดี๋ยวจะเอาดอกไม้ไปให้เขา เลขาฯ ผมก็สงสัยทำไมต้องเอาไปให้ เขามากรีดยางรถผมแท้ๆ

            ไม่ใช่แค่เลขาฯ เท่านั้นที่โกรธแทน พนักงานทั้งออฟฟิศโกรธกันหมด พนักงานวิ่งส่งเอกสารวิ่งมาเลย บอกว่านายๆ เดี๋ยวผมจะเอาไม้ไปทุบกระจกรถมันดีไหม ยามของอาคารก็วิ่งขึ้นมาบอกว่า คนที่กรีดยางรถผมเป็นฝรั่งเจ้าของบริษัททัวร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย เขาทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว โดนกันหมด ทั้งกรีดรถ กรีดยางรถ โดนกันประจำ เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้

ผมบอกทุกคนว่า ใจเย็นๆ รถผมเอง ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร อย่าโกรธนะ

          แล้วผมก็เอากระเช้าดอกไม้ขึ้นไปที่ออฟฟิศเขา ซึ่งตลกมากเพราะอยู่ตรงกันข้ามกับสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีซึ่งผมเช่าไว้คนละชั้นกับออฟฟิศบริษัทประชาสัมพันธ์ คิดอยู่ในใจว่า อืม..ออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกัน อยู่ชั้นเดียวกันแท้ๆ ยังมาทำกันขนาดนี้! ผมพยายามจะขอพบเขา แต่เขาไม่ออกมาพบ ส่งจีเอ็มคนไทยและพนักงาน 2-3 คนยืนทำหน้าถมึงขึงขังกันอยู่หน้าออฟฟิศ แล้วถามผมว่าคุณใช่ไหมจอดรถทับที่เจ้านายเขา โวยวายกันใหญ่ แต่เขาคงไม่รู้ว่านายเขากรีดยางรถผม

          ผมไม่ได้รับเชิญให้นั่ง และได้รับการยืนยันว่านายเขาไม่ออกมาพบแน่นอน ปล่อยให้ยืนถือดอกไม้อยู่อย่างนั้น ผมยืนอยู่สักพักหนึ่งเห็นว่าคุณฝรั่งคนนั้นไม่ออกมาแน่ เลยอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลูกน้องเขาฟัง พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าที เชิญให้ผมนั่ง ดูเหมือนว่าตกใจที่นายเขามากรีดยางรถเรา

          ผมบอกว่าตั้งใจเอาดอกไม้มาขอโทษเจ้านายคุณ สำหรับสิ่งที่ผมผิดพลาดในการจอดรถทับที่ของเขาเมื่อบ่ายวานนี้ แต่ผมมีเหตุจำเป็น คือ ต้องรีบไปงานศพ และที่จอดรถของผมและของบริษัทฯ มีรถจอดเต็มทั้งหมด และสิ่งที่อยากขอร้องคือ เราอยู่ในตึกเดียวกัน น่าจะพูดกันดีๆ ไม่น่าจะต้องมาทำ

          อะไรแบบนี้ หากเขาไปทำกับคนอื่นคงเดือดร้อน แต่สำหรับผม ผมไม่เดือดร้อน มีคนคอยดูแลเอารถไปเปลี่ยนยางได้ อย่างไรก็ตาม ผมฝากคำขอโทษไปถึงนายคุณด้วย

           พูดจบแค่นั้น ผมก็ขอตัวลงมาทำงาน ปรากฏว่าก่อนเที่ยงวันเดียวกัน เลขาฯ และทีมงานเฮกันลั่นออฟฟิศ เพราะได้รับตะกร้าผลไม้ใหญ่มากพร้อมแชมเปญยี่ห้อแพงจากฝรั่งคนนี้ (เสียดายไม่ดื่ม!) เลขาฯ หัวเราะมากกว่าคนอื่น เพราะสารภาพว่าไม่ได้สั่งดอกไม้ แต่ไปเอากระถางต้นไม้ในครัวมาผูกโบว์ โชคดีที่มีฝีมือเลยออกมาสวยงามพอให้ผมถือไปมอบให้เขาได้ ลงทุนไม่ถึงร้อยบาท แต่ได้รับกลับคืนมามากกว่าหลายเท่า

           แต่สิ่งที่ผมถือว่าเป็นรางวัลแท้จริง คือ ข้อความในจดหมายที่แนบมา (อุตส่าห์ส่งสาส์นรัก Love Note มาด้วย) เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาได้ ‘สั่งสอน’ คนไทยที่ไม่มีระเบียบวินัย ชอบมาจอดรถในที่ของเขา และไปทำแบบนี้ จะรู้สึก ‘สะใจ’ เหมือนว่าได้ Give them a lesson! คือให้บทเรียนกับคนที่ไม่มีวินัยแบบนี้ ยิ่งมีการมาโวยวายกันมากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้นว่าบทเรียนที่ให้ไปนั้นได้ผล ทำให้คนไทยสำนึก

            แต่เขาบอกว่า ผมมาแปลกที่เอาดอกไม้มาขอโทษ แถมยังอธิบายเหตุผลด้วย และได้เห็นตัวอย่างว่า ผมก็ไม่โกรธที่มีคนอื่นมาจอดรถทับที่ผม ทั้งที่สองบริษัทฯ ผมดูแล้วน่าจะมีที่จอดมากกว่าบริษัทเขาบริษัทเดียว สรุปแล้ว เขารู้สึกสำนึกว่าไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ เขารู้สึกไม่ดีและอยากขอโทษ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่รู้สึกแบบนี้

            ในย่อหน้าสุดท้าย เขาบอกว่าในฐานะที่ผมทำบริษัทประชาสัมพันธ์ เขาก็เป็นบริษัททัวร์ชั้นนำ ขอมาเป็นลูกค้าได้หรือไม่ สรุปว่า จากการที่เราเจอเหตุการณ์แย่ๆ เราสามารถพลิกให้คนสำนึกได้ด้วยตนเอง และยังแถมมาเป็นลูกค้าอีก เป็นอานิสงส์ของสติจริงๆ

 

ผมไม่ได้รับเขามาเป็นลูกค้า ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนอะไรอีก แต่เผอิญตอนนั้นเรามีลูกค้าเต็มมืออยู่แล้ว และหลังจากนั้น เหตุการณ์การกรีดยางรถ กรีดรถรอบคันในที่จอดรถของอาคารก็ไม่มีอีกต่อไป...

 

ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด ใครเชิด ใครชู ช่างเขา

ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

 

White Heart - Discover you Ordinary Heart to find you Extraordinary Life! 

วันศุกร์, กรกฎาคม 22, 2554

จิตใจที่โหยหาความสุข

พุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ถามพลวงพี่ไพศาล วิศาโลว่า
 
ความสุขภายนอกจำเป็นไหม
 
และถ้ายังจำเป็น ควร "จำกัด" มันไว้แค่ไหน ไม่ให้เสพติดมัน
 
เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ตอบว่า "ยังจำเป็นอยู่" ยกตัวอย่างเช่น ปัจจัยสี่ ที่ยังจำเป็นในชีวิตประจำวัน
 
"แต่จำเป็นเพราะความอยู่รอด โดยปกติ จิตใจจะโหยหาความสุข
ถ้าไม่ได้ความสุข มันจะป่วน คนที่ทำตัวเกกมะเหรกเกเรเพราะเขาขาดความสุข
 
ความสุขมีสองประเภท คือความสุขทางวัตถุกับความสุขทางจิตใจ
 
ถ้าเรายังไม่มีนิรันดร์สุข เราก็ต้องอิงแอบอยู่กับความสุขที่เรามี
 
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามีความสุขหล่อเลี้ยงใจมากขึ้น เราก็จะต้องการความสุขทางวัตถุน้อยลง
 
แต่ถ้าเราไม่มีความสุขภายในเลย เราก็ต้องการความสุขทางวัตถุมากจนกลายเป็นทาสของมัน เช่น คนติดยา ติดเหล้า เพราะนั่นคือ ความสุขอย่างเดียวของเค้า
 
เช่นนั้นแล้ว ถ้าเราต้องการเป็นอิสระจากสุขภายนอก เราก็ต้องหาสุขอย่างอื่นมาทดแทน เช่น ตอนเด็กๆ เราชอบกินกล้วยแขก เพราะมันอร่อยมาก แต่พอโตขึ้นมาเจอชอกโกแลต พบว่ามันอร่อยมาก เราก็เบื่อกล้วยแขกไปเลย เพราะเจอของอร่อยกว่า แต่ต่อไปเราก็จะหน่ายชอกโกแลตอีกเพราะเราเจอสิ่งที่ดีกว่า" หลวงพี่ตอบเป็นแนวทางกว้างๆ
 
 
กับคำถามต่อมา ปุจฉาโดยพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง ที่กำลังมีปัญหาในที่ทำงาน
 
 
"เราควรวางตัวอย่างไรให้มีความสุขในที่ทำงาน เพราะต้องทำตัวให้แข็งแกร่ง มีความรู้ เพื่อให้ผู้ร่วมงานให้เกียรติ และเราเองก็หวังความสุขจากตรงนั้น แต่บางทีใจเรารู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่ถ้าเราไม่ทำ ก็จะเกิดความกลัวว่า เพื่อนร่วมงานจะนำปัญหามาให้"
 
หลวงพี่วิสัชนาว่า
"ปัญหาอยู่ที่ความสัมพันธ์ เราเองต้องทำใจส่วนหนึ่ง อย่าไปอิงกับความคาดหวัง สายตา หรือความรู้สึกของคนรอบข้างมากนัก ถ้าเราพึ่งพิงหรือแคร์ เราจะไม่มีทางมีความสุขได้เลย เพราะสายตาคนรอบข้างไม่มีความแน่นอนอยู่แล้ว แคร์มากเราก็จะทุกข์ การที่เขาจะมองว่าเราไม่แข็งแกร่ง ไม่มีความรู้ ก็เป็นเรื่องของเขา อย่างน้อยให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง ไม่หวั่นไหวต่อสายตาคนอื่น นี่เป็นสิ่งสำคัญกว่า
 
ส่วนที่สอง คือ ปฏิสัมพันธ์กับเขา ถ้าเราปฏิสัมพันธ์กับเขาอย่างเพื่อน ด้วยความจริงใจแล้ว ด้วยความเมตตา ถ้ามีอะไรก็กล้าพูดกับเขา จะช่วยได้ การสื่อสารระหว่างกันเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ในการช่วยลดปัญหา"
 
 
..............................................
คนเรามักมีความสุขจากการได้ มากกว่าการมี มีเท่าไหร่ก็ยังจะอยากได้มาใหม่เพราะเรามักคิดว่า ของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะมันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริงๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือ ของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉยๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ? 
 
(ตอนหนึ่งจากหนังสือความสุขที่ปลายจมูก)
เนื้อธรรมทั้งหมดที่พระไพศาลบรรยายมาทั้งหมด เชื่อว่าเป็นสิ่งที่หลายคนรู้อยู่แล้ว นี่อาจจะเพียงการช่วยตรวจทานอีกรอบว่า ความสุขมีกันอยู่แล้ว หยิบมันออกมาใช้บ้าง อย่าเอาใจออกห่าง 
...อยู่ใกล้แค่นี้เอง