แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ fwmail แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ fwmail แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคาร, สิงหาคม 23, 2554

ความเอยความรัก

ในความคำนึงของเด็กๆ (เมกา)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

บ่ายวันหนึ่ง ในประเทศอเมริกา อาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง เดินเข้าไปยังโรงเรียนประถม เพื่อที่จะทำงานวิจัยชิ้นหนึ่ง พวกเขาเดินเข้าไปในห้องเรียน แล้วตั้งคำถามกับเด็กๆ ประถมว่า หนูๆ จ๊ะ หนูคิดว่า  ความรัก หมายความว่าอย่างไร  ลองมาดูคำตอบเหล่านี้กัน แล้วจะพบว่า เด็กๆ มีมุมมองในเรื่องความรัก น่ารักมาก... หนูๆ มองความรัก กันแบบตรงไปตรงมา และตอบคำถามได้อย่างกินใจเป็นที่สุด


 ตอนนั้น คุณย่าปวดหลังมาก ก็เลยก้มลงทาสี ที่เล็บเท้าไม่ได้ คุณปู่จึงช่วยทำให้ ทั้งๆ ที่ ตอนนั้น คุณปู่ ก็เจ็บข้อมืออยู่เหมือนกัน หนูว่า นี่แหละค่ะ คือความรัก”Rebecka 8 ขวบ

 

 

 

 ความรักก็คือ เมื่อผู้หญิงใส่น้ำหอม และผู้ชายก็ใส่น้ำหอมเหมือนกัน เค้าทั้งสองออกไปเที่ยว แล้วต่างคนก็ต่างสูดกลิ่นหอมของแต่ละฝ่ายคับ

 

Karl 5 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่คุณไปกินมื้อเที่ยงที่แมคโดนัลด์ แล้วคุณก็เอาเฟรนซ์ฟรายทั้งหมดให้กับคนที่คุณนั่งอยู่ด้วย โดยที่คุณไม่ได้ขออะไรจากเค้าคั

 

Danny 7 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เมื่อมามี๊ชงกาแฟ แล้วก็ชิม ก่อนที่จะเอาไปให้แดดดี๊ เพื่อดูว่ารสชาดอร่อยพอหรือยังค่ะ”  

 

Chrissy 6 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่คุณบอกกับเค้าว่า เสื้อตัวที่ใส่อยู่ สวยดีนะ แล้วหลังจากนั้น เค้าก็ใส่เสื้อตัวนั้นทุกวันคับ

 

Noelle 7 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่มามี๊ ให้ไก่ชิ้นที่น่ากินที่สุดกับ แดดดี๊ค่ะ 

 

Elaine 5 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่แม่ คิดว่าพ่อน่ารัก และแม่ก็บอกพ่อบ่อยๆ ว่า พ่อน่ะ ดูหล่อกว่า แฮริสัน ฟอร์ด เสียอีก

 

Chris 8 ขวบ

 

 

 

ความรักก็คือ เวลาที่หมาเลียที่หน้าหนู ถึงแม้หนูจะทิ้งให้มันอยู่ตัวเดียวที่บ้านทั้งวัน

 

Marry Ann 5 ขวบ

 

 

 

เวลาที่คุณรักใครสักคน ขนตาของคุณจะกระพริบ แล้วคุณก็จะเห็นดาวดวงเล็กๆ หลายๆ ดวงค่ะ

 

Karen 7 ขวบ

 

 

 

แม่รักหนูมากที่สุด เพราะแม่จะจูบหนูก่อนเข้านอนทุกคืน

 

Clare 5 ขวบ


ความรักก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง เพียงแค่เราใช้ความรู้สึก และเข้าไปสัมผัสให้ถึงแก่นของมัน.... ขอให้ทุกท่านได้พบกับความรักที่ดี

วันพุธ, กรกฎาคม 27, 2554

Give them a lesson!

ขอบคุณคุณหมออุทัยวรรณ ส่งมาให้อ่านครับ

เข้าใจว่ามาจากที่นี่   White Heart - Discover you Ordinary Heart to find you Extraordinary Life! 

------------------------------

รถโดนกรีดยาง

          คำถามหนึ่งที่คนทั่วไปชอบถามเวลาเจอหน้า คือ ผมโกรธบ้างหรือไม่ ผมก็จะยิ้มๆ และตอบว่า เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ย่อมต้องมีความโกรธ แต่โชคดีไม่บ่อยนัก และเวลาโกรธส่วนใหญ่จะไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา คือ ความโกรธยังไม่ล้นออกมาทางคำพูดและการกระทำ ยังพอควบคุมหรือมีสติเห็นทัน ส่วนใหญ่มักจะเห็นใจที่เดือดอยู่ปุดๆ จะปุดมากปุดน้อย ก็ขึ้นอยู่กับระดับของเหตุการณ์นั้นๆ

         โชคดีที่ระยะหลังๆ มานี้ ไม่ค่อยมีอาการปุดๆ ในใจเลย นานๆ จะเกิดสักที คนที่จะสามารถทำให้ผมโกรธได้ต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ เรียกว่าต้องเป็นครูสอนธรรมะระดับเทพเชียวล่ะ

          หลายปีก่อน มีเหตุการณ์หนึ่งที่เราได้ ‘เห็น’ ความโกรธชัดเจนที่วิ่งเข้ามาเยือนจิตใจ บ่ายวันหนึ่งผมต้องไปงานศพกะทันหัน ไม่ได้ทราบก่อนล่วงหน้าจึงไม่ได้เตรียมใส่ชุดดำ คนขับรถก็ลาพอดี จึงต้องขับรถกลับมาที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป ปกติที่ออฟฟิศมีที่จอดรถประจำ ปรากฏว่าวันนั้นมีคนอื่นมาจอดรถในที่ของผมเองและของบริษัทหมด วนรถอยู่นานพอสมควรเลยตัดสินใจจอดในที่ของคนอื่น เพราะเห็นว่าว่างๆ อยู่ คิดในใจว่าขออนุญาตจอดสัก 10 นาที วิ่งไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาคงไม่เป็นไร เจ้าของที่คงยังไม่มา

          พอเปลี่ยนเสื้อกลับมาที่รถ ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของที่จอดนั้น มาจอดขวางรถเราเอาไว้ แถมยังเข้าเกียร์ล็อคไว้อีกต่างหาก เลื่อนไม่ได้ ตอนแรกกะว่าจะวิ่งไปหายามให้ช่วยไปเชิญเจ้าของรถมาเลื่อนให้ แต่เกรงว่าจะไปงานศพไม่ทัน เลยตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไป

           คืนนั้น กว่าจะสวดศพเสร็จ กว่าจะรํ่าลาเจ้าภาพก็ดึกพอสมควร ผมก็นั่งรถแท็กซี่กลับไปที่บ้าน ลืมเรื่องรถไปเลย

           เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินมาที่รถซึ่งจอดเอาไว้เมื่อคืน ตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น เพราะยางรถแบนแต๋ดแต๋ติดพื้น 2 ล้อเลย พอเห็นยางรถแบนเท่านั้น ความโกรธก็วิ่งเข้ามาในใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นอาการบางอย่างที่ไม่เคยเห็นอยู่ในใจ แต่พอเรามีสติเข้าไป ‘เห็น’ ความโกรธที่วิ่งเข้ามา ก็หายไปโดยฉับพลัน ความโกรธไม่มีเลย ใจกลับเป็นปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากกับตัวเอง ส่วนใหญ่จะโกรธกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่า อย่าโกรธ อย่าโกรธ แต่พอเผลอแว็บ ความโกรธก็จะวิ่งเข้ามาสู่ใจ

           

แต่พอมีสติเข้าไปเห็นทันความโกรธเท่านั้น ความโกรธเงียบหายไป จำได้ว่าโกรธอยู่เพียง 3-5 วินาทีเท่านั้น เร็วมากๆ แล้วความโกรธก็หายไป ไม่รู้หายไปไหน ไม่กลับมาอีก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์จากชั้นที่จอดรถมาบนออฟฟิศ เราเกิดปัญญาบางอย่างที่จะจัดการกับเหตุการณ์นี้ด้วยสติ เป็นปัญญาที่ปกติตัวเองจะไม่สามารถคิดได้ขนาดนั้น มันเหมือนเป็นอาการสว่างวาบแล้วเกิดปัญญา ประมาณนั้น!

           พอถึงออฟฟิศ ผมก็สั่งเลขาฯ ให้ไปตรวจสอบว่า เจ้าของรถทะเบียนคันที่จอดรถขวางผมคือใคร แล้วช่วยจัดดอกไม้ให้หน่อย เดี๋ยวจะเอาดอกไม้ไปให้เขา เลขาฯ ผมก็สงสัยทำไมต้องเอาไปให้ เขามากรีดยางรถผมแท้ๆ

            ไม่ใช่แค่เลขาฯ เท่านั้นที่โกรธแทน พนักงานทั้งออฟฟิศโกรธกันหมด พนักงานวิ่งส่งเอกสารวิ่งมาเลย บอกว่านายๆ เดี๋ยวผมจะเอาไม้ไปทุบกระจกรถมันดีไหม ยามของอาคารก็วิ่งขึ้นมาบอกว่า คนที่กรีดยางรถผมเป็นฝรั่งเจ้าของบริษัททัวร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย เขาทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว โดนกันหมด ทั้งกรีดรถ กรีดยางรถ โดนกันประจำ เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้

ผมบอกทุกคนว่า ใจเย็นๆ รถผมเอง ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร อย่าโกรธนะ

          แล้วผมก็เอากระเช้าดอกไม้ขึ้นไปที่ออฟฟิศเขา ซึ่งตลกมากเพราะอยู่ตรงกันข้ามกับสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีซึ่งผมเช่าไว้คนละชั้นกับออฟฟิศบริษัทประชาสัมพันธ์ คิดอยู่ในใจว่า อืม..ออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกัน อยู่ชั้นเดียวกันแท้ๆ ยังมาทำกันขนาดนี้! ผมพยายามจะขอพบเขา แต่เขาไม่ออกมาพบ ส่งจีเอ็มคนไทยและพนักงาน 2-3 คนยืนทำหน้าถมึงขึงขังกันอยู่หน้าออฟฟิศ แล้วถามผมว่าคุณใช่ไหมจอดรถทับที่เจ้านายเขา โวยวายกันใหญ่ แต่เขาคงไม่รู้ว่านายเขากรีดยางรถผม

          ผมไม่ได้รับเชิญให้นั่ง และได้รับการยืนยันว่านายเขาไม่ออกมาพบแน่นอน ปล่อยให้ยืนถือดอกไม้อยู่อย่างนั้น ผมยืนอยู่สักพักหนึ่งเห็นว่าคุณฝรั่งคนนั้นไม่ออกมาแน่ เลยอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลูกน้องเขาฟัง พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าที เชิญให้ผมนั่ง ดูเหมือนว่าตกใจที่นายเขามากรีดยางรถเรา

          ผมบอกว่าตั้งใจเอาดอกไม้มาขอโทษเจ้านายคุณ สำหรับสิ่งที่ผมผิดพลาดในการจอดรถทับที่ของเขาเมื่อบ่ายวานนี้ แต่ผมมีเหตุจำเป็น คือ ต้องรีบไปงานศพ และที่จอดรถของผมและของบริษัทฯ มีรถจอดเต็มทั้งหมด และสิ่งที่อยากขอร้องคือ เราอยู่ในตึกเดียวกัน น่าจะพูดกันดีๆ ไม่น่าจะต้องมาทำ

          อะไรแบบนี้ หากเขาไปทำกับคนอื่นคงเดือดร้อน แต่สำหรับผม ผมไม่เดือดร้อน มีคนคอยดูแลเอารถไปเปลี่ยนยางได้ อย่างไรก็ตาม ผมฝากคำขอโทษไปถึงนายคุณด้วย

           พูดจบแค่นั้น ผมก็ขอตัวลงมาทำงาน ปรากฏว่าก่อนเที่ยงวันเดียวกัน เลขาฯ และทีมงานเฮกันลั่นออฟฟิศ เพราะได้รับตะกร้าผลไม้ใหญ่มากพร้อมแชมเปญยี่ห้อแพงจากฝรั่งคนนี้ (เสียดายไม่ดื่ม!) เลขาฯ หัวเราะมากกว่าคนอื่น เพราะสารภาพว่าไม่ได้สั่งดอกไม้ แต่ไปเอากระถางต้นไม้ในครัวมาผูกโบว์ โชคดีที่มีฝีมือเลยออกมาสวยงามพอให้ผมถือไปมอบให้เขาได้ ลงทุนไม่ถึงร้อยบาท แต่ได้รับกลับคืนมามากกว่าหลายเท่า

           แต่สิ่งที่ผมถือว่าเป็นรางวัลแท้จริง คือ ข้อความในจดหมายที่แนบมา (อุตส่าห์ส่งสาส์นรัก Love Note มาด้วย) เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาได้ ‘สั่งสอน’ คนไทยที่ไม่มีระเบียบวินัย ชอบมาจอดรถในที่ของเขา และไปทำแบบนี้ จะรู้สึก ‘สะใจ’ เหมือนว่าได้ Give them a lesson! คือให้บทเรียนกับคนที่ไม่มีวินัยแบบนี้ ยิ่งมีการมาโวยวายกันมากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้นว่าบทเรียนที่ให้ไปนั้นได้ผล ทำให้คนไทยสำนึก

            แต่เขาบอกว่า ผมมาแปลกที่เอาดอกไม้มาขอโทษ แถมยังอธิบายเหตุผลด้วย และได้เห็นตัวอย่างว่า ผมก็ไม่โกรธที่มีคนอื่นมาจอดรถทับที่ผม ทั้งที่สองบริษัทฯ ผมดูแล้วน่าจะมีที่จอดมากกว่าบริษัทเขาบริษัทเดียว สรุปแล้ว เขารู้สึกสำนึกว่าไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ เขารู้สึกไม่ดีและอยากขอโทษ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่รู้สึกแบบนี้

            ในย่อหน้าสุดท้าย เขาบอกว่าในฐานะที่ผมทำบริษัทประชาสัมพันธ์ เขาก็เป็นบริษัททัวร์ชั้นนำ ขอมาเป็นลูกค้าได้หรือไม่ สรุปว่า จากการที่เราเจอเหตุการณ์แย่ๆ เราสามารถพลิกให้คนสำนึกได้ด้วยตนเอง และยังแถมมาเป็นลูกค้าอีก เป็นอานิสงส์ของสติจริงๆ

 

ผมไม่ได้รับเขามาเป็นลูกค้า ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนอะไรอีก แต่เผอิญตอนนั้นเรามีลูกค้าเต็มมืออยู่แล้ว และหลังจากนั้น เหตุการณ์การกรีดยางรถ กรีดรถรอบคันในที่จอดรถของอาคารก็ไม่มีอีกต่อไป...

 

ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด ใครเชิด ใครชู ช่างเขา

ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

 

White Heart - Discover you Ordinary Heart to find you Extraordinary Life! 

วันศุกร์, กรกฎาคม 22, 2554

จิตใจที่โหยหาความสุข

พุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ถามพลวงพี่ไพศาล วิศาโลว่า
 
ความสุขภายนอกจำเป็นไหม
 
และถ้ายังจำเป็น ควร "จำกัด" มันไว้แค่ไหน ไม่ให้เสพติดมัน
 
เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ตอบว่า "ยังจำเป็นอยู่" ยกตัวอย่างเช่น ปัจจัยสี่ ที่ยังจำเป็นในชีวิตประจำวัน
 
"แต่จำเป็นเพราะความอยู่รอด โดยปกติ จิตใจจะโหยหาความสุข
ถ้าไม่ได้ความสุข มันจะป่วน คนที่ทำตัวเกกมะเหรกเกเรเพราะเขาขาดความสุข
 
ความสุขมีสองประเภท คือความสุขทางวัตถุกับความสุขทางจิตใจ
 
ถ้าเรายังไม่มีนิรันดร์สุข เราก็ต้องอิงแอบอยู่กับความสุขที่เรามี
 
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามีความสุขหล่อเลี้ยงใจมากขึ้น เราก็จะต้องการความสุขทางวัตถุน้อยลง
 
แต่ถ้าเราไม่มีความสุขภายในเลย เราก็ต้องการความสุขทางวัตถุมากจนกลายเป็นทาสของมัน เช่น คนติดยา ติดเหล้า เพราะนั่นคือ ความสุขอย่างเดียวของเค้า
 
เช่นนั้นแล้ว ถ้าเราต้องการเป็นอิสระจากสุขภายนอก เราก็ต้องหาสุขอย่างอื่นมาทดแทน เช่น ตอนเด็กๆ เราชอบกินกล้วยแขก เพราะมันอร่อยมาก แต่พอโตขึ้นมาเจอชอกโกแลต พบว่ามันอร่อยมาก เราก็เบื่อกล้วยแขกไปเลย เพราะเจอของอร่อยกว่า แต่ต่อไปเราก็จะหน่ายชอกโกแลตอีกเพราะเราเจอสิ่งที่ดีกว่า" หลวงพี่ตอบเป็นแนวทางกว้างๆ
 
 
กับคำถามต่อมา ปุจฉาโดยพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง ที่กำลังมีปัญหาในที่ทำงาน
 
 
"เราควรวางตัวอย่างไรให้มีความสุขในที่ทำงาน เพราะต้องทำตัวให้แข็งแกร่ง มีความรู้ เพื่อให้ผู้ร่วมงานให้เกียรติ และเราเองก็หวังความสุขจากตรงนั้น แต่บางทีใจเรารู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่ถ้าเราไม่ทำ ก็จะเกิดความกลัวว่า เพื่อนร่วมงานจะนำปัญหามาให้"
 
หลวงพี่วิสัชนาว่า
"ปัญหาอยู่ที่ความสัมพันธ์ เราเองต้องทำใจส่วนหนึ่ง อย่าไปอิงกับความคาดหวัง สายตา หรือความรู้สึกของคนรอบข้างมากนัก ถ้าเราพึ่งพิงหรือแคร์ เราจะไม่มีทางมีความสุขได้เลย เพราะสายตาคนรอบข้างไม่มีความแน่นอนอยู่แล้ว แคร์มากเราก็จะทุกข์ การที่เขาจะมองว่าเราไม่แข็งแกร่ง ไม่มีความรู้ ก็เป็นเรื่องของเขา อย่างน้อยให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง ไม่หวั่นไหวต่อสายตาคนอื่น นี่เป็นสิ่งสำคัญกว่า
 
ส่วนที่สอง คือ ปฏิสัมพันธ์กับเขา ถ้าเราปฏิสัมพันธ์กับเขาอย่างเพื่อน ด้วยความจริงใจแล้ว ด้วยความเมตตา ถ้ามีอะไรก็กล้าพูดกับเขา จะช่วยได้ การสื่อสารระหว่างกันเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ในการช่วยลดปัญหา"
 
 
..............................................
คนเรามักมีความสุขจากการได้ มากกว่าการมี มีเท่าไหร่ก็ยังจะอยากได้มาใหม่เพราะเรามักคิดว่า ของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะมันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริงๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือ ของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉยๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ? 
 
(ตอนหนึ่งจากหนังสือความสุขที่ปลายจมูก)
เนื้อธรรมทั้งหมดที่พระไพศาลบรรยายมาทั้งหมด เชื่อว่าเป็นสิ่งที่หลายคนรู้อยู่แล้ว นี่อาจจะเพียงการช่วยตรวจทานอีกรอบว่า ความสุขมีกันอยู่แล้ว หยิบมันออกมาใช้บ้าง อย่าเอาใจออกห่าง 
...อยู่ใกล้แค่นี้เอง

รักคนไกล ระอาคนใกล้

รักคนไกล ระอาคนใกล้ (ถอดความจากคำบรรยายหลวงพี่ไพศาล วิศาโล) 

"แอม เสาวลักษณ์ (ลีละบุตร) เคยเล่าเรื่องเพื่อนคนหนึ่งให้ฟัง เพื่อนคนนั้นเพิ่งกลับจากไปปลูกป่า พร้อมกับบอกว่ามันดีเหลือเกิน ช่วยทั้งเรื่องฝน ดิน สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ แล้วก็ปลื้ม นายดาบวิชัย มากๆ
 
ฟังอย่างนี้ แอมเลยถามกลับไปว่า ชอบปลูกป่าอย่างนี้ที่บ้านคงมีต้นไม้เยอะแน่ๆ
 
แต่เพื่อนกลับหน้าบึ้ง ตอบกลับว่า ตัดหมดแล้ว ใบไม้มันร่วงเยอะ ขี้เกียจกวาด"
 
กระแทกเข้าไปในหัวใจสีเขียวของใครหลายคน ด้วยมัวแต่ชื่นชมและอุ้มชูป่านอกบ้าน หากต้นไม้ในบ้านกลับไม่เห็นค่า บอกว่าระอาและเป็นภาระ
ป่ากับต้นไม้
 
ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึก "รักคนไกล ระอาคนใกล้"
"บางคนที่เบื่อพ่อแม่ เพราะท่านมีนิสัยบางอย่างที่ไม่น่าพอใจ แล้วเราก็ชอบเอาแต่ตรงนี้ไปคิดระอา ทั้งๆ ที่ข้อดีของท่านมีไม่หวาดไม่ไหว"
 
หลวงพี่พยายามดึงให้มองด้านดีของคนใกล้ อย่าไปเสียเวลาใส่ใจกับด้านลบ แล้วมอบสิ่งดีๆ อย่าง คำขอบคุณ อ้อมกอด หรือความรัก เป็นการตอบแทน
 
 
"คนมักเห็นค่า เมื่อ 1.ยังไม่ได้มา 2.จากไปแล้ว" ท่านย้ำ
 
พร้อมเล่าเรื่องเพื่อนที่เป็นหมอคนหนึ่ง ว่า สมัยก่อนเขาอยากได้พีดีเอโฟนมาก เลยอยู่เวรดึกหลายคืนเพื่อเก็บเงิน แต่พอใช้ไปได้ 4-5 เดือน บ่นอยากได้รุ่นใหม่ซะแล้ว แล้วจู่ๆ เครื่องเดิมเกิดหาย เสียดายมาก"
 
นอกจากคน สิ่งของ ความสุขระยะใกล้ยังหมายถึง "เวลา" ...นาฬิกาชีวิตที่มักถูกลืม
 
การที่คนๆ หนึ่งตื่นมาทุกเช้า พร้อมกับความรู้สึกเบื่อหน่าย
 
เพราะคนๆ นั้นเชื่อว่า เวลายังไม่จบสิ้น ไม่เคยเลยสักวันที่ตื่นมาขึ้นมาใน "เช้าอันแสนวิเศษ"
 
"แต่ถ้าเขาเป็นโรคร้าย หรือโลกใบนี้กำลังจะแตก เขาจะรู้สึกถึงว่า การมีเช้าวันใหม่นั้นเป็นของขวัญ เพราะไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ และทำให้เขาใช้แต่ละวันแต่ละนาทีอย่างมีคุณค่า ชีวิตมีความสุขมากขึ้น" 

วันอังคาร, กรกฎาคม 05, 2554

หักหอกเป็นดอกไม้

หลวงพ่อดีเนาะ 

พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณโณ อดีตสมภารวัดป่าชิคาโก แสดงธรรมไว้หลายธรรมมาสน์คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย (สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี) ฟังแล้วติดใจ เอามาพิมพ์เป็นหนังสื่อ ชื่อ หักหอกเป็นดอกไม้ 

เรื่องหนึ่งที่ท่านเทศน์ เป็นเรื่องของหลวงพ่อวัดหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อลือชากันว่า ท่านเป็นพระที่มีแต่ความสุข ไม่เคยมีความทุกข์ 

วัน หนึ่ง โยมมานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่บ้าน บอกท่านว่าจะมารับแต่เช้า หลวงพ่อก็นั่งรอจนสายโยมก็ไม่มาสักที 

หลวงพ่อก็ว่า "ไม่มา ก็ดีเหมือนกันเนาะ เราฉันข้าวของเราดีกว่า" 

ฉันข้าวได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับพอดี กราบกรานขอโทษที่มาช้า เหตุเพราะว่ารถเสีย 

หลวงพ่อวางช้อน "อือ ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ" 

นั่ง รถไปได้สักพัก เครื่องรถก็ดับอีก คนขับบอก "รถเสียครับ" หลวงพ่อก็ว่า "ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ" 
คนขับซ่อมเครื่องรถได้พัก ก็ออกปากขอให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ 

ความจริงหลวงพ่อก็แก่ ข้าวก็ฉันได้ไม่กี่คำ แต่ทานก็ยิ้ม บอกว่า "โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ" 
แล้วก็ขมีขมันออกแรงช่วยเข็นรถจนวิ่งได้ 

ไปถึงบ้านงาน เวลาเลยเที่ยง หมดเวลาฉันอาหารไปแล้ว เป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่ออดข้าว เจ้าภาพก็ร้อนใจ

อะไรๆก็เลยเวลามานาน นิมนต์ท่านขึ้นเทศน์ทันที 

"
ดีเนาะ มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ" 

หลวง พ่อว่าแล้วก็ขึ้นธรรมมาสน์เทศน์จนจบ มีคนชงกาแฟถวาย แต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาลหลวงพ่อจิบกาแฟไปหนึ่งคำ แล้วก็บอกโยมว่า "โอ้ดีเนาะ ดีๆ" แล้วก็วาง 

ธรรมเนียมของหลวงพ่อขลังๆ เวลาท่านฉันอะไร ลูกศิษย์ก็ อยากได้บ้าง ว่ากันว่าเป็นสิริมงคลดีนักเรียงหน้ารอกันเป็นแถว ลูกศิษย์คนแรก ดื่มกาแฟก็พ่นพรวดออกมา 

"
เค็มปี๋เลยหลวงพ่อ ฉันเข้าไปได้ยังไง!" 

"
ก็ดีเนาะ ฉันกาแฟหวานๆมานาน" หลวงพ่อว่า "ฉันเค็มๆมั่งก็ดีเหมือนกัน" 

ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก ลมแรง น้ำท่วม หรือคนด่า หลวงพ่อท่านมองไปในแง่ดีได้หมด 

มีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งไปทำผิด ถูกจับไปติดคุก ท่านก็ว่า "ก็ดีเนาะ มันจะได้ศึกษาชีวิต" 

ท่าน อาจารย์ประสงค์บอกว่า หลวงพ่อองค์นี้ ชื่ออะไร อยู่วัดไหน ตัวท่านเคยจดไว้ แต่ทำสมุดที่จดหายจำได้เพียงแต่ว่า คนอีสานเขาสรรเสริญท่านมาก 

แม้ท่านจะชื่อจริงอะไร ก็คงไม่มีใครจำ เพราะต่างก็เรียกท่านว่า "หลวงพ่อดีเนาะ" กันหมดแล้ว 

เรื่อง ของหลวงพ่อดีเนาะ เป็นหนึ่งตัวอย่างในเรื่อง "หักหอกเป็นดอกไม้" ทุกข์สุข ดีเลวล้วนแล้วแต่อยู่ที่วิธีคิด ถ้าคิดเป็นบวก เรื่องก็ออกมาเป็นบวก... 

หลวง พ่อดีเนาะ แห่งวัดมัชฌิมาวาส อุดรธานี ซึ่งมองโลกในแง่ดี ไม่เคยจับผิดใคร ไม่เคยว่าใคร เจอปัญหาอะไรๆ ก็พูดว่า ดีเนาะ” … จนกระทั่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็น พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที ซึ่งแปลว่า ดีเนาะ 

หลวงพ่อ ดีเนาะเป็นเกจิอาจารย์มีชื่อของจังหวัดอุดรธานี ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือทั่วประเทศ มีเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมี และการประพฤติปฏิบัติตนของหลวงพ่อดีเล่าขานกันมากมายหลายเรื่องเช่นมีผู้ เล่าว่า เนื่องจากหลวงพ่อดีมีผู้เคารพนับถือมาก จึงมีผู้มาถวายจตุปัจจัยข้าวของเครื่องใช้ที่มีค่าแก่ท่านมากมาย ในกุฏิของหลวงพ่อดีจึงมีข้าวของเงินทองที่เตะตาล่อโจรให้อยากลองของมากมาย แต่ดูเหมือนว่าหลวงพ่อท่านไม่ค่อยจะสนใจวัตถุรอบกายของท่านแต่อย่างใดอยู่มา วันหนึ่ง หลวงพ่อดีก็ถูกขุนโจรใจโหดปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์มากมาย ถือปืนบุกเข้าประชิดตัวหลวงพ่อบนกุฏิพร้อมทั้งประกาศก้อง 
นี่คือการปล้น อย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ หลวงพ่อดียิ้มกับโจรด้วยอารมณ์ดีและไม่มีอาการสะทกสะท้าน ท่านกล่าวกับโจรอย่างนิ่มนวลว่า 
ปล้นก็ดีเนาะ โจรชักแปลกใจในคำพูดและท่าทีของหลวงพ่อ โจรพูดว่า 
ถูกปล้นทำไมว่าดีละหลวงพ่อ หลวงพ่อดีตอบว่า 
ทำไม่จะไม่ดีละ ก็ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าไอ้สมบัติบ้า ๆ นี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมดข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก โจรขู่อีก 
ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียวฉันต้องฆ่าหลวงพ่อด้วย เพื่อปิดปากเจ้าทรัพย์ หลวงพ่อดีก็ตอบเหมือนเดิม 
ฆ่าก็ดีเนาะ โจรแปลกใจจึงถามว่า 
ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรละหลวงพ่อ หลวงพ่อดีตอบ 

ข้ามันแก่แล้ว ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร โจรรู้สึกอ่อนใจเลยบอกว่า 
ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ฆ่าหรอก หลวงพ่อดีก็พูดเหมือนเคย 
ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ โจรถามอีก 
ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก หลวงพ่อดีบอกว่า 
การ ฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องชดใช้เวรทั้งชาตินี้และชาติหน้า อย่างน้อยตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุก เข้าตะราง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก โจรเลยเปลี่ยนใจ 
ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อดีก็ตอบอีกว่า 
ไม่ปล้นก็ดีเนาะ 
มี ผู้เล่าต่อมาว่า ในที่สุดโจรคนนั้นก็สำนึกบาปเข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อพ้นโทษออกมาก็ขอให้หลวงพ่อดีบวชให้และบำเพ็ญศีลภาวนาตลอดมา ส่วนหลวงพ่อดีมีคนให้ฉายาท่านว่ หลวงพ่อดีเนาะ มาจนทุกวันนี้ 

ท่านมีตัวตนอยู่จริงครับ 

พระเทพวิสุทธาจารย์ (หลวงปู่ดีเนาะ) 
วัดมัชฌิมาวาส อ.เมือง จ.อุดรธานี

นี่รูปท่าน     http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-dee-nor-hist.htm

วันจันทร์, กรกฎาคม 04, 2554

พ่อคนหนึ่งเขียนถึงลูกของเขา

ส่วนพ่อของเราเองนั้น ไม่ได้เขียนอะไรแบบนี้ให้เราอ่านหรอก

แต่พ่อก็อยู่ในใจเราเสมอ ว่าแล้วก็ "พ่อครับ คิดถึงพ่อ"

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ โพสท์ ทูเดย์ มา   ซึ่งทางนสพ.นี้ก็ได้รับเมลมาอีกต่อหนึ่งนั่นเอง

บันทึกช่วยจำของ "เหลียง จี้ จาง"


"เหลียง จี้ จาง" เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกง และเป็นนักเขียนด้วย


บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้


นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่มีพ่อมีต่อลูก เฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป


มุมมองของเขาบางเรื่อง (แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน


อ่านแล้วก็เลยนำมาถ่ายทอดสู่กันฟัง ...


ลูกรัก...ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ


1.สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง  จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้  พ่อจึงคิดว่า  บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า


2.เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก  ถ้าพ่อไม่บอกลูก  ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก


3.สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้  ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา  มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีกในชีวิตของลูก


ขอให้จำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้ดี


1.คนที่ไม่ดีต่อเรา  ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก  นอกจากลูกจะต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย  เพราะคนเราทุกคน  ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะรักลูกเสมอไป  ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี  อย่าพึ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)


2.ไม่มีใครที่ทดแทนกันไม่ได้  และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดไป  ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย


3.ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง 555+) หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า  พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น  ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด  เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น  หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน


4.ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันดร์กาล  ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ  โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์  หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป  ขอให้รอคอยอย่างอดทน  ให้เวลาช่วยชะล้าง  ให้จิตใจค่อยๆ ตกตะกอน  แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆ จางหายไป...อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป  และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ


5.แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง   แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียนแล้วจะได้ดี  ความรู้คืออาวุธ  คนเราอาจสู้แล้วรวย  แต่ไม่มีทางรวยได้  หากปราศจากอาวุธสู้ ... จำไว้


6.พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ  เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน  เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว  พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน  หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์  จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ  ลูกต้องเลือกเอง


7.ต้องทำดีต่อผู้อื่น  แต่อย่าหวังว่าผุ้อื่นต้องทำดีต่อเรา  เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร  มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน ...  ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้  จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น


8.พ่อซื้อลอตเตอรี่มาตลอดชีวิต  ยังยากจนเหมือนเดิม  แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย  นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า  คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น  ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ (There is nothing has a free lunch.)


9.ญาติ มิตร หรือ สหาย  ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว  ฉะนั้นจงหวงแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้  เพราะในชาติหน้า  ไม่ว่าท่านจะรักหรือชังใคร
  ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก้ไม่รู้)


 ครับ ขอบคุณ เหลียง จี้ จาง

 
 

วันอังคาร, มิถุนายน 07, 2554

ชีวิต มันไม่ง่ายเหมือนการปลดกระดุมนี่นา


ความสำคัญของ "กระดุมเม็ดแรก"



เคยไหมที่คุณตื่นนอนยามเช้า ครึ่งหลับครึ่งตื่น สวมเสื้อราวกับคนไร้วิญญาณ


เมื่อกลัดกระดุมเสร็จแล้วก็พบว่า ชายเสื้อทั้งสองข้างไม่เท่ากัน คุณกลัดกระดุมผิดทั้งแถว!




มันเริ่มจากการที่คุณไม่รู้ว่า คุณกลัดเม็ดแรกผิด แล้วกลัดต่อไปทีละเม็ดอย่างถูกต้อง


เมื่อกลัดกระดุมเสร็จสิ้น ก็ผิดทั้งหมด




ในตัวอย่างนี้ ความไม่รู้ทำให้คุณ 'กลัดกระดุม' ผิดทั้งแถว!


เคยไหมที่คุณเก็บเนื้อในตู้เย็นนานข้ามปี จนเนื้อหมดอายุ แต่ไม่ยอมทิ้ง


เพราะเป็นเนื้อจากต่างประเทศ ราคาแพง


คุณปรุงอาหารจนเสร็จ เมื่อกินแล้วไม่อร่อยหรืออาหารเป็นพิษ




ในตัวอย่างนี้ ความเสียดายทำให้คุณ 'กลัดกระดุม' ต่อไป ทั้งที่รู้ว่าเม็ดแรกผิดรู!


เคยไหมที่คุณสมัครเรียนสายวิชาที่คุณไม่ชอบ ไม่ว่าเพราะพ่อแม่บังคับ


หรือไม่รู้จะเรียนอะไรนอกเหนือจากสายนั้น คุณสอบได้ ลงทะเบียน


เรียนผ่านไปทีละเทอม ทีละปี จนจบ คุณได้รับปริญญาบัตร


หางานที่เกี่ยวข้องกับสายวิชาที่ร่ำเรียนมา แล้วทำงานไปทีละวันๆ


ทีละเดือนๆ ทีละปีๆ จนวันหนึ่งคุณก็หมดแรง


และยอมรับว่าคุณ 'กลัดกระดุม' ผิดมาตั้งแต่เม็ดแรก




ในตัวอย่างนี้ ความละเลยทำให้คุณดันทุรัง 'กลัดกระดุม' เม็ดต่อไปทั้งที่รู้ดีว่ากลัดเม็ดแรกผิด


กระดุมเม็ดแรกสำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นรากฐานของกระดุมเม็ดที่สอง สาม สี่...


กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็ผิดหมดทั้งแถว ผิดทั้งยวง และอาจจะผิดทั้งชีวิต!




ตึกรามบ้านช่องไม่ว่าจะออกแบบสวยงามเพียงไร


หากคำนวณฐานรากไม่ถูกต้อง วันหนึ่งก็เอียงล้ม


เด็กไม่ว่าฉลาดเพียงไร หากเอาแต่เล่นเกม ดูแต่หนังรุนแรง เอาแต่ใจตัวเอง


โตขึ้นก็อาจเป็นปัญหาภาระที่สังคมต้องแบกรับ




ซื้อรองเท้ายี่ห้อดังมาแล้ว ถึงคับก็ทนสวม ไม่นานก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องเท้าเจ็บ


เพื่อนให้ขนมเค้กจากร้านที่มีชื่อเสียง จะให้คนอื่นก็เสียดาย


จึงฝืนกินเข้าไปทั้งที่อ้วนอยู่แล้ว ผลที่ตามมาคือร่างกายเสียหาย




คุณอาจยอมปล่อยบางปัญหาไป หลับตาข้างหนึ่งแล้วหวังว่า ปัญหานั้นจะละลายหายไปเอง


แต่ท้ายที่สุดก็ต้องแก้ปัญหานั้นอยู่ดี ทั้งยังต้องจ่ายราคาค่าแก้ปัญหามากกว่าเดิม


ไม่ว่าจะเป็นระดับปัจเจก เช่น การใช้ชีวิต การศึกษา การทำงาน ความรัก


ไปจนถึงระดับมหภาคเช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง


ไม่ว่าจะด้วยความไม่รู้ ความปล่อยปละละเลย หรือความเสียดาย หรือเหตุผลใดก็ตาม


หากกลัด 'กระดุม' เม็ดแรกผิด ทุกสิ่งที่ทำถูกต้องหลังจากนั้นจะกลายเป็นผิดไป!




การแก้ปัญหาของการ 'กลัดกระดุมผิดเม็ด' นี้มีทางเดียว


คือ ปลด 'กระดุม' ทั้งหมดออกมาก่อน แล้วกลัดใหม่


การไม่รู้เป็นเรื่องหนึ่ง การรู้แล้วยังทำต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง




หลายคนทำงานตามคำสั่งทั้งที่รู้ว่า 'กระดุมเม็ดแรก'


ไม่ตรงรูกระดุมของมัน กว่าจะรู้ตัว ก็กลายเป็นปัญหาลูกโซ่


หลายๆ ระบบในสังคมเช่น ระบบการเมือง การศึกษา ฯลฯ




ดำเนินมานานปี ทั้งที่เรามองเห็นปัญหา แต่ก็ดำเนินต่อไปทั้งด้วยความไม่รู้


ความเขลา ความปล่อยปละละเลย ด้วยความเชื่ออย่างนกกระจอกเทศว่า


มุดหัวลงดินสักพัก เดี๋ยวปัญหาก็หายไป แต่ปัญหาไม่เคยหายไป


มีแต่สะสมด้วยดอกเบี้ยทบต้น ยิ่งแก้ไขช้า ราคาแก้ไขยิ่งแพง


บางครั้งการตัดใจเข้าห้องผ่าตัดปฏิรูปตัวเองก็เป็นทางแก้ที่ถูกต้อง




ยอมตัดใจตัดวงจรเดิมนั้นทิ้ง แล้วเริ่มต้นใหม่


เพราะความเสียหายในระยะยาวน้อยกว่า ประหยัดเวลาโดยรวมมากกว่า


ทุกๆ หลายก้าวที่เดินหน้า เราควรหยุดและทบทวนดู 'กระดุม' ของเรา


หรือของสังคมว่า กลัดถูกรูไหม ถ้าไม่ก็อย่ารอช้า ปลด 'กระดุม' ทั้งหมดออกมาก่อน แล้วกลัดใหม่




วินทร์ เลียววาริณ


22
พฤษภาคม 2533




ผู้ทำผิดแล้วไม่แก้ไข กำลังทำผิดอีกครั้งหนึ่ง


ขงจื๊อ