วันพุธ, กันยายน 29, 2553

ก่อนออกจากบ้าน อย่าลืมสิ่งเหล่านี้ !!..

สิ่งดี ๆ ที่ควรทำทุกวัน 


       ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้
   1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ รอยยิ้ม
    2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุด คือ งานช่วยเหลือผู้อื่น
   3. ความสุขที่สุด คือ ..การให้..
    4. อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวังและเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ คำพูดที่ทำร้ายผู้อื่น
  5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ความรัก
   6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การทำร้ายตัวเอง
    7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้ คือ ความกลัว
   8. ยานอนหลับที่ให้ผลดีที่สุด คือ ความสงบภายในใจ
 
ใครชอบ         ใครชัง        ช่างเถิด
 
ใครเชิด          ใครชู         ช่างเขา
 
ใครด่า           ใครบ่น        ทนเอา
 
ใจเรา            ร่มเย็น        เป็นพอ

วันพฤหัสบดี, กันยายน 23, 2553

..."จริงของเค้า"..บทความจากน้าเน๊ก

เหมือนเคยอ่านแล้ว

 

แต่อ่านอีกก็ชอบอีก

 

-------------------------


  
 
  
 

อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ 



1. 
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน 
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์ 

อุแม่เจ้า......... 
แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง 
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก... 
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข 

*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน 

*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง 

*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู 

ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก 

พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม 
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน 
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน 
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ! 

อุแม่เจ้าเทค 2 

คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!! 
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ 
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้ 
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่ 
เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน 
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ...... 

คำนวณเองบ้างซิว้อยย..... 

เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี ..... 
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา

หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอม

ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ 
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่ ' เงินเดือน ' 
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ 
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน 

เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น 
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น 
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ 
รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน 
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ 
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล 
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด 
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล 
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี 
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง 
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย 
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ 
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ 
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย

แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้ 
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ... 
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า 
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ 
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว 
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก

ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี 
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ )ตายแล้ว 
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ 
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล 

....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน 
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด 
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น 
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง 
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน......... 
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ...... 
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน 
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด 
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก 
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ 

อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก

รีบ แยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ ทำ

เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่

โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา


วันพุธ, กันยายน 15, 2553

B.B กับไข่

มีเพื่อนถามเรื่อง B.B  ว่า เหมือน Exp ไหม เลยลองค้นๆดูได้ความดังนี้ครับ

 

http://forum.downloadfc.com/index.php?topic=100339.new

ปุจฉา- พอดีว่าผมจะไปซื้อไข่ที่เซเว่นฯ หน่ะครับกำลังจะเลือก แต่เห็นว่าตรงฉลากแพ็คของไข่ไก่่หง่ะครับ มันมีตัวบอกว่า MED:22/04/10 กะ BB 06/05/10 คือว่า สงสัยว่า ไอ้ตรงคำว่าBBตัวนี้เนี่ยะ มันหมายความว่าไรอ่ะครับ ผมไม่กล้าซื้ออ่ะกลัวว่ามันจะเป็นหมดอายุรึป่าว แต่ก็งงว่าไข่มันมีหมดอายุด้วยหรอ?

 

วิสัชนา- คำว่า BB หรือที่สินค้าบางตัวใช้ BBE  ย่อมาจากคำว่า Best Before หรือ Best Before End ค่ะมีความหมายใกล้เคียงกับ Expire Date ที่หมายถึงวันหมดอายุนั่นเองค่ะ

ที่บอกว่าใกล้เคียงเพราะ ถ้าสินค้าตัวไหนใช้ Expire Date (Exp) ก็เรียกว่าถึงวันที่ระบุว่าหมดอายุ ก็โยนทิ้งได้เลยค่ะ 

แต่ถ้าสินค้าตัวไหนใช้ BB  หรือ BBE  ก็หมายถึงว่าอาจจะเพียงแค่เสียคุณภาพ กลิ่น หรือ รส  แต่ไม่ถึงกับบูดเน่าซะเลยทีเดียว  ทั้งนี้ทั้งนั้น ให้ผู้บริโภคพิจารณาเอาน่ะค่ะว่ายังพอจะทานได้อยู่หรือเปล่า 

 


- อ้อ ลืมบอกไป  ไข่ก็มีหมดอายุได้นะคะ แล้วกลิ่นของไข่เน่านี่มันก็รุนแรงน่าดู อิอิ วิธีทดสอบง่ายๆ ค่ะ  ให้เอาไข่ไปลอยน้ำ ถ้าไข่ที่ยังสดใหม่อยู่ จะจมน้ำค่ะแต่ถ้าไข่ที่เสียแล้ว จะลอยน้ำนะคะ 

- ถ้าหากมีการเก็บรักษาที่ดีก็จะยังอยู่ได้อีกหลายวัน หลังจากวันที่ระบุว่าหมดอายุไข่ที่เก็บไว้ ณ อุณหภูมิห้องภายในระยะเวลา 1 วัน  จะสูญเสียความสดเท่ากับไข่ที่เก็บไว้ในตู้เย็นในระยะเวลา 1 สัปดาห์  เพราะฉะนั้นเราควรเก็บไข่ไว้ในตู้่เย็นดีที่สุดค่ะ

และวิธีการวางไข่ก็ควรเอาด้านปลายเรียวแหลมลงล่าง และให้ด้านป้านอยู่ด้านบน เพราะว่าด้านป้านมีฟองอากาศอยู่ภายใน เมื่อเราพลิกขึ้นด้านบนจะทำให้ไข่แดงไม่แตกเร็ว จึงเก็บไข่ได้นานขึ้น  และที่สำคัญ เวลาซื้อไข่มาแล้ว ห้ามล้างนะคะ เพราะจะทำให้นวลที่เคลือบอยู่ถูกล้างออกหมด คงไว้ซึ่งเปลือกไข่ที่มีรูพรุน ทำให้เชื้อโรคสามารถซึมผ่านทางรูพรุนนี้เข้าไปในไข่  ทำให้ไข่เสียเร็วค่ะ

 

วันพฤหัสบดี, กันยายน 09, 2553

คาถา มาอีกแล้ว

คาถาของคนทำงาน(อย่างเราๆ) 
1. 
คาถาคนทำงาน 
ขั้นแรก...ท่อง นะโม จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ 
อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง 
อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน 
อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน   <====== อันนี้ โดน 
พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า 

2. 
คาถาปล่อยวาง 
กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา 
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ 
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย 
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย 

3. 
คำสอนของพระพุทธเจ้า 
อย่าไปนึกว่า  ' คนอื่น '   เหนือ   กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย 
อย่าไปนึกว่า   ' คนอื่น '   ต่ำ     กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ 
อย่าไปนึกว่า  ' คนอื่น '   เสมอ     เท่าเรา   เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น 
จงนึกเสมอว่า คนอื่นทุกคน เป็นเพื่อนรวมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด    

 

  
    การบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร ข้อ ดังนี้ 
> 1. 
อย่าเป็นนักจับผิด   
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก '   คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส จิตประภัสสร ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข 

> 2. 
อย่ามัวแต่คิดริษยา   
แข่งกันดี ไม่ดีสักคน   ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน 
คนเราต้องมี พรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า เจ้ากรรมนายเวร   ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน   
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ไฟสุมขอน ไฟเย็น) เราริษยา คน เราก็มีทุกข์ ก้อน 
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี แผ่เมตตา หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป 


> 3. 
อย่าเสียเวลากับความหลัง   
90% 
ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น 
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย 
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน 
อยู่กับปัจจุบันให้เป็น   ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี สติ กำกับตลอดเวลา 


> 4. 
อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ   
ตัณหา ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ   ธรรมชาติของตัณหา คือ ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม '   
ทุกอย่างต้องดู คุณค่าที่แท้จริง ไม่ใช่ คุณค่าเทียม    เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู 
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์   
เราต้องถามตัวเองว่า เิกิดมาทำไม คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา แก่น ของชีวิตให้เจอ 
คำว่า พอดี '   คือ ถ้า พอ แล้วจะ ' ดี '     รู้จัก พอ จะมีชีวิตอย่างมีความสุข 

วันจันทร์, กันยายน 06, 2553

คาถา

 

เมื่อวันอาทิตย์ ได้พนมมือนั่งฟังพระปริต (แปลว่าคาถาแนวป้องกันภัย) แล้วฟังไม่รู้เรื่อง ให้รู้สึกงง+ง่วง

 

วันนี้ได้คาถามาจากฟอร์เวิดเมล์ ขอเชิญอ่าน

 

--------------------------------------------------------------------------

ความสุข...อาจทำให้ลุ่มหลง

ความทุกข์...ทำให้รู้จักชีวิต

จึงควรขอบคุณความทุกข์บ้าง






เพียงคิดช่วยเขา...ใจเราก็สุขแล้ว
เพียงคิดเบียดเบียนเขา...ใจเราก็ทุกข์แล้ว

น้ำทำให้เรือลอยได้ก็ทำให้เรือล่มได้
ทรัพย์สินเงินทองทำให้คนเป็นสุขได้ก็ทำให้คนเป็นทุกข์ได้

การมองข้ามงานเล็กไปจะทำให้งานใหญ่ไม่สำเร็จ





เพ่งโทษตน...เป็นบัณฑิต
เพ่งความผิดคนอื่น...เป็นพาล

ก้าวแรก ก้าวต่อ ๆ ไปและก้าวสุดท้ายสำคัญพอ ๆ กัน
ขาดก้าวใดก้าวหนึ่งชีวิตจะถึงที่หมายไม่ได้

คลื่นลมทำให้ทะเลสวย อุปสรรคทำให้ชีวิตงาม
บุคคลจึงไม่ควรยอมแพ้เมื่อพบอุปสรรค

หากครั้งนี้ล้มเหลว ครั้งต่อ ๆ ไปต้องสำเร็จ
เพราะความสำเร็จมักมาหลังจากความล้มเหลวเสมอ





ความวิตกกังวลใจเป็นโรคร้ายของชีวิต
ถ้าปล่อยก็ว่าง ถ้าวางก็จะเบา ถ้าเอาก็จะหนัก
ความยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นอุบายสร้างสันติ





คาถาการทำงาน

การทำงานคือการพักผ่อน
ทำงานเพื่องานไม่ใช่ทำงานเพื่ออะไร
คนโง่ทำงานแล้วทุกข์ คนฉลาดทำงานแล้วสุข

.....หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ





ยุ่งยาก กับ เยือกเย็น

ในยามที่เราพบกับความยุ่งยากต้องพึ่งพาความเยือกเย็น
ค่อย ๆ ย้อนลงไปแยกแยะสาเหตุแห่งปัญหาที่ทำให้เราเร่าร้อน

เราจะเอาชนะความยุ่งยากของชีวิตได้
ด้วยการเอาชนะความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในใจของเราเสียก่อน




จงมองดูความวิตกกังวลของตนเอง
มองดูว่ามันทำให้เราเอาชนะปัญหาของเรา
หรือมันทำให้เราหมดพลังและพ่ายแพ้

ปัญหาต่าง ๆ ของชีวิตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ความทุกข์ยากที่เราคิดว่ามันแสนสาหัสสำหรับเราในวันนี้
ในวันข้างหน้าเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย..




หวังว่าคงทำให้คนที่ใจท้อแท้อ่อนแอไม่ว่าเรื่องใด ๆ ได้อ่านแล้วคงทำให้ได้แง่คิดกันบ้าง

หรือ ถ้าไม่สุขก็ทุกข์ให้น้อยลง .. นะจ๊ะ ^^