วันพุธ, ธันวาคม 31, 2551

ส.ค.ส. ๒๕๕๒ พระราชทานจากในหลวง ครับ

http://www.oknation.net/blog/chainews/2008/12/31/entry-2

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส.แก่ปวงชนชาวไทยในปีพุทธศักราช 2552 เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์สากลสีน้ำตาลอ่อน ภาพปักกระเป๋าสีฟ้าสดใส และฉลองพระองค์เชิ้ตขาว เนกไทสีฟ้าอ่อน ประทับพระเก้าอี้ ฉายพระบรมรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด ที่นั่งอยู่ข้างพระเก้าอี้ และคุณนายแดง แม่ของคุณทองแดง หมอบเฝ้าอยู่อีกข้างหนึ่ง
        ฉากหลังของ ส.ค.ส.เป็นสนามหญ้าในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน มีต้นไม้ใหญ่ และต้นชวนชมดอกสีชมพู
        มุมบนด้านซ้าย มีตราสัญลักษณ์ 2 ตรา คือ ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และพระผอบทอง ระหว่างตราสัญลักษณ์ทั้งสองมีตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า ส.ค.ส.๒๕๕๒ ใต้ลงมามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2009
        มุมบนด้านขวามีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า "สวัสดีปีใหม่ ขอจงมี...ความสุข...ความเจริญ" ด้านล่างขวามีตัวเลขสีแดง ระบุวันเดือนปีที่ฉายพระบรมรูปว่า 2008 12 17/17 : 11
        กรอบ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละสามแถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
        กรอบด้านล่างมีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 192231 ธ.ค.51 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing, D Bramaputra, Publisher

ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่และ ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2552 แก่ปวงชนชาวไทยนั้น คุณทองแดง สุวรรณชาด ได้หมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาทหลังพระเก้าอี้ตลอดเวลา


ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรชาวไทย ว่า


ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ เป็นเวลาที่เราควรจะระลึกถึงกันและอวยพรแก่กันด้วยความปรารถนาดี ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องขอขอบใจทุกท่านเป็นอย่างมากที่ร่วมกันจัดงานพระศพพี่สาวข้าพเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ ทั้งอุตส่าห์มาร่วมในงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน ด้วยใจภักดี และระลึกถึง กับขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ให้มีความสุขความเจริญ


ความสุขความเจริญนี้คือสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรา แต่ความสุขความเจริญนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยการที่ทุกคนตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท มีสติ รู้ตัว และปฏิญญา รู้คิด กำกับอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ไม่ว่าจะประพฤติปฏิบัติการใด ก็ใช้สติ ปัญญา พิจารณา ไตร่ตรองจนถ้วนถี่ ให้เห็นกระจ่างถึงผลดี ผลเสีย ทั้งใจ กาย ทุกแง่ทุกมุม


ความรู้ ความเข้าใจชัด ถึงผลดี ผลเสีย ย่อมจะทำให้แต่ละคนเล็งเห็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องว่าสิ่งใดควรละเว้น และสิ่งใดควรปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผลเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง และยั่งยืน ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม


ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ประชาชนชาวไทยได้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท จะคิด จะทำสิ่งใด ให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ผลของการคิดดี ทำดีนั้น จะได้ส่งเสริมให้แต่ละคนประสบแต่ความสุข ความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองมีความเรียบร้อย และอยู่เย็นเป็นสุข ดังที่ทุกคน ทุกฝ่าย ตั้งใจปรารถนา


ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเราเคารพบูชา จงอภิบาลรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากโรค ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ และความสำเร็จ สมหวัง ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน



http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=25643


http://www.nectec.or.th/users/htk/gr01/

Filter Close up เเบบไร้สาระ

http://www.photohobby.net/learning/filter.html
แต่ขอโทษ ได้ใจไปเต็มๆครับ โดนจริงๆ ขอแปะลิ้งค์ไว้หน่อยเหอะ

วันอังคาร, ธันวาคม 30, 2551

ดื่มไม่ขับ

อ่านเสร็จแล้ว ผมก็อยากนำมาแปะบล้อคครับ

-----------------------------------------------------------------------------

ช่วยอ่านให้จบนะคะแล้วเลือกว่าจะทำอย่างไหน




ในวันสุดท้ายก่อนวันคริสต์มาส ฉันรีบไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ต




เพื่อซื้อของขวั­ญที่ฉันไม่ได้ซื้อไว้แต่เนิ่นๆ





เมื่อฉันเห็นผู้คนทั้งหมดที่นั่น ฉันก็เริ่มบ่นกับตัวเอง





ฉันคงต้องเสียเวลาเป็นชาติที่นี่แน่ๆ ฉันควรไปที่อื่นดีกว่า





คริสต์มาสนี่ทำให้รู้สึกแออัดและน่ารำคาญ­ขึ้นทุกๆปีจริงๆ





สิ่งที่ฉันอยากจะทำคือเอนตัวลงนอนแล้วก็หลับไปและตื่นขึ้นมาเมื่อเวลานี้ผ่านพ้นไปแล้วจริงๆ





แต่ถึงยังไงฉันก็ยังไปที่แผนกของเล่น





และฉันก็เริ่มหัวเสียเกี่ยวกับราคาของมันและแปลกใจว่า





เด็กๆเนี่ยเล่นของเล่นที่แพงขนาดนี้เชียวหรือ






ขณะที่กำลังเดินดูของอยู่ในแผนกของเล่นนั้น





ฉันสังเกตเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง อายุประมาณ 5 ขวบ กำลังอุ้มตุ๊กตาไว้แนบกับอก เขาค่อยๆลูบผมของตุ๊กตานั้นและมองดูอย่างเศร้าสร้อย





ฉันสงสัยว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะเอาตุ๊กตาไปให้ใครกัน





เด็กผู้ชายคนนั้นหันไปหาห­ญิงชราที่อยู่ข้างๆ





'คุณย่าแน่ใจหรือฮะว่าเงินของผมมีไม่พอ'





­ญิงชราตอบว่า 'หลานก็รู้นี่ว่าหลานมีเงินไม่พอที่จะซื้อตุ๊กตาตัวนี้หรอก'





หลังจากนั้นห­ญิงชราก็บอกให้เขารออยู่ตรงนั้นประมาณ 5 นาทีระหว่างที่เธอจะไปเดินดูรอบๆ





แล้วเธอก็จากไปอย่างรวดเร็ว เด็กชายยังคงอุ้มตุ๊กตาอยู่ในมื





ในที่สุดฉันก็เริ่มเดินเข้าไปหาเขา





ฉันถามเค้าว่าเค้าจะเอาตุ๊กตาตัวนั้นไปให้ใคร






มันเป็นตุ๊กตาที่น้องสาวของผมชอบที่สุดฮะ






และเธอก็อยากจะได้มันมากเป็นของขวั­ญวันคริสต์มาส





เธอมั่นใจมากว่าซานตาคลอสจะให้ตุ๊กตาตัวนี้แก่เธอ'






ฉันบอกเค้าว่า ซานตาคลอสจะให้ตุ๊กตานี้แก่น้องสาวของเขาแน่ๆ





และก็ไม่ต้องกังวลหรอก






(มาถึงตรงนี้ นึกหละสิครับว่า เรื่องนี้ จะเหมือนกับเรื่องปกติทั่วๆไปที่คุณเคยอ่าน เดาผิดแล้วหละครับ ลองอ่านต่อสิครับ...)





แต่เขาตอบฉันด้วยท่าทางเศร้าสลดว่า





'ไม่หรอกฮะ ซานตาคลอสไม่สามารถเอาตุ๊กตานี้ไปให้เธอในที่ๆเธออยู่ตอนนี้ได้






ผมจะเอาตุ๊กตาตัวนี้ไปให้แม่





แม่จะได้เอาตุ๊กตานี้ไปให้เธอเมื่อแม่ไปที่นั่น'





ดวงตาของเขาเศร้ามากขณะที่เขาพูดต่อไป





'น้องสาวของผมไปอยู่บนสวรรค์





พ่อบอกว่าแม่ก็จะไปเหมือนกันในเร็วๆนี้





ผมก็เลยคิดว่าแม่น่าจะเอามันไปให้น้องสาวของผมได้'





หัวใจของฉันเกือบจะหยุดเต้น เด็กชายเงยหน้ามองฉันแล้วพูดว่า






'ผมบอกพ่อให้บอกแม่ว่าอย่าพึ่งไปให้รอผมจนกว่าผมจะกลับจากซุปเปอร์มาร์เก็ตฮะ'





แล้วเขาก็หยิบรูปที่น่ารักมากของเขาซึ่งกำลังหัวเราะให้ฉันดู แล้วก็บอกว่า





'ผมอยากให้แม่เอารูปนี้ไปด้วยฮะเธอจะได้ไม่ลืมผม






ผมรักแม่ฮะและผมก็หวังว่าเธอจะไม่ต้องจากผมไป





แต่พ่อบอกว่าเธอต้องไปอยู่กับน้องสาวของผม'





แล้วเขาก็จ้องมองตุ๊กตาอีกครั้งอย่างอาลัย





ฉันรีบคว้ากระเป๋าตังออกมาอย่างรวดเร็ว





หยิบธนบัตรออกมา 2-3ใบ แล้วพูดว่า 'ทำไมเราไม่ลองตรวจดูอีกที เผื่อว่าเราจะมีเงินพอ'





'ตกลงฮะ' เขาพูด 'ผมหวังว่าผมจะมีเงินพอนะฮะ'





ฉันแอบใส่เงินของฉันลงในกระเป๋าตังของเขาโดยไม่ให้เขาเห็นแล้วเขาก็เริ่มนับมัน





มันไม่ได้มีเงินแค่พอซื้อตุ๊กตาเท่านั้น แต่ยังเหลืออีกด้วย เด็กชายพูด





'ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเงินให้ผมฮะ' เขามองฉัน แล้วพูดเสริมว่า





'ผมอธิษฐานกับพระเจ้าก่อนนอนเมื่อวานฮะ






ว่าขอให้ผมมีเงินพอที่จะซื้อตุ๊กตาตัวนี้เพื่อแม่จะได้เอาไปให้น้องสาวของผมฮะ แล้วพระองค์ก็ได้ยิน





ความจริงผมอยากได้เงินที่จะซื้อกุหลาบสีขาวให้แม่ด้วยฮะ แต่ผมไม่กล้าขอมากเกินไป





แต่พระองค์ก็ให้เงินผมมากพอที่จะซื้อทั้งตุ๊กตาและกุหลาบ





แม่ของผมชอบกุหลาบขาวฮะ'





2-3 นาทีต่อมา ห­ญิงชราก็กลับมา





ฉันเดินออกมากับรถเข็นของฉัน(รถเข็นที่ใช้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตอะ)





ฉันซื้อของจนเสร็จด้วยความรู้สึกที่ต่างจากตอนมาโดยสิ้นเชิง






ฉันไม่สามารถเอาภาพของเด็กชายคนนั้นออกจากจิตใจฉันได้






หลังจากนั้นฉันก็จำข่าวที่อยู่ในหนังสือพิมพ์เมื่อ 2 วันก่อนได้






มันบอกว่าคนขับรถบรรทุกที่เมาเหล้าคนหนึ่งขับรถชนรถอีกคันหนึ่งที่มีห­ญิงสาวคนหนึ่งกับเด็กห­ิงตัวเล็กๆในรถ





เด็กห­ญิงคนนั้นเสียชีวิตทันที แต่แม่ของเธออยู่ในขั้นบาดเจ็บสาหัส






ครอบครัวของพวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะดึงปลั๊กเครื่องช่วยหายใจดีหรือไม่





เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่สามารถดีขึ้นไปกว่าขั้นโคม่าได้





ครอบครัว?นี้จะเป็นของเด็กชายคนนั้นรึเปล่านะ





2 วันหลังจากได้พบกับเด็กชายคนนั้



ฉันอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่า ห­ญิงสาวคนนั้นได้เสียชีวิตแล้ว




ฉันไม่สามารถหยุดตัวเองไว้ได้ที่จะไปซื้อกุหลาบช่อหนึ่ง แล้วไปที่ Mortuary





ซึ่งร่างของห­ญิงคนนั้นได้ถูกเปิดให้คนได้ดูและอธิษฐานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนฝัง


เธออยู่ในนั้น



ในโลงศพของเธอในมือมีดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งกับรูปถ่ายของเด็กชายคนนั้น




และมีตุ๊กตาวางอยู่บนหน้าอก





ฉันออกไปข้างนอกทั้งน้ำตารู้สึกว่าชีวิตของฉันได้เปลี่ยนไปตลอดกาล





ความรักที่เด็กผู้ชายคนนี้มีให้แม่และน้องสาวของเขานั้นจะยังคงอยู่ยืนยาวสุดแก่การจินตนาการ



แต่เพียงแค่เศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น



คนดื่มเหล้าคนหนึ่งก็ได้พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเค้า








ตอนนี้คุณมี 2 ตัวเลือก






1. ส่งข้อความนี้ให้แก่ทุกคนที่คุณรู้จัก






2. ลบข้อความนี้ทิ้งราวกับว่ามันไม่เคยทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้ง



ถ้าคุณส่งข้อความนี้ บางที...


คุณอาจได้ช่วยป้องกันไม่ให้บางคนที่เมาแล้วขับก็ได้

เพื่อนเหมือนกับนางฟ้าที่ช่วยเราบินในยามที่ปีกของเราหลงลืมวิธีแห่งการบิน

'ทีม คือกลุ่มคนที่อาจจะมี ประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือระดับการศึกษาที่ไม่เท่ากัน แต่อยู่ในหน้าที่เดียวกัน'

 

ป.ล.ยิ่งช่วงนี้ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว 
เมาไม่ขับเด็ดขาด ทุกครั้งที่เมาแล้วต้องขับรถ

คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ แล้วนั่งรถแท๊กซี่กลับบ้าน ช่วยๆกัน forward ต่อด้วยนะ อย่างน้อย น่าจะช่วยใครได้สักคนหวังเอาไว้อย่างงั๊น *

 

 


 

 

 

.

วันจันทร์, ธันวาคม 29, 2551

ทำที่ต่อ Digiscope กับ A640 แบบง่ายๆ

http://digiscopinganswers.blogspot.com/2008/03/digiscoping-with-a640.html
ก่อนอื่นต้องมีกล้องส่องทางไกลก่อนครับ


Digiscoping with A640




Bird Watching magazine editor Kevin Wilmot adopts the handheld digiscoping pose for the Canon PowerShot A640.

I've recently had quite a few calls asking how I go about digiscoping with my Canon PowerShot A640 (which I use with a Kowa TSN-823 scope and 32xW eyepiece)

In the Digiscoping Made Easy DVD I used a PowerShot A95 with a sort of metal tube (a Lensmate) clipped onto a bayonet fitting on the camera. The tube slides neatly into the scope eyepiece, centring the camera and holding it just the right distance from the eyepiece – there was no vignetting at any magnification and it worked beautifully.
I upgraded to the A640 because it has twice the megapixels (10 rather than 5) and the macro is amazing (with an incredible close-focus distance of about 1cm).

The downside is that there isn't a convenient Lensmate-equivalent to connect for digiscoping.

Fear not, though, there is an easy solution – plastic tubing.

Below is the step-by-step guide to how I do my digiscoping. To align the camera with the scope eyepiece, I simply use a plastic ring cut from some plastic piping from a DIY store.


I use one of two rings. The deeper one lifts the camera slightly further away from the eypiece, to stop vignetting at the lowest camera magnifcation. The thinner one is for when the camera is slightly zoomed in. (I worked out the distance by measuring how far back I needed the camera until the vignetting disappeared).

If I am going to be digiscoping all I do is whip out the relevant ring, comme ça...

...then I pop the ring in the scope's eyepiece.

So, it looks like this.

Then all I need to do is insert my camera's lens in the tube.

So, you end up with a set-up looking like this...

...or, if you like, this...

Then you snap away. Here, once more, is Kevin Wilmot impersonating my digiscoping technique beautifully

วันอังคาร, ธันวาคม 23, 2551

… homemade USB camera shutter release …

http://www.cibomahto.com/2008/02/thing-a-day-day-27-remote-trigger-for-powershot-s3/
อันนี้ด้วย http://armanbohn.com/blog/2008/05/22/homemade-usb-camera-shutter-release/


Canon did not include a remote trigger option in this camera, however there are many times when I have wanted one. Recently, though, the CHDK people figured out that you can use the USB port on the camera as a trigger. It’s a great hack- the camera already has hardware to detect when the camera connects to your PC, so they captured that event and made it scriptable. This works well for what I wanted to do, which is to take long exposure shots without disturbing the camera. A potential drawback to this method, however, is that the camera can take up to a second to respond to the trigger. This means it will not be useful for syncing captures to a fast event. There are two parts to this project, building the hardware and getting the CHDK program running on your camera. Some quick instructions are after the break.

The trigger, all put together



First, the hardware:

This is the schematic we want to achieve:

Schematic


You could build a box and put the components in it, however I found a light-up pen that has all the parts in it. It also occurs to me that something like a mintyboost would also work, if it has a switch to turn the power on and off. Here are the parts before disassembly:

Parts for the camera remote trigger


Once the hardware is done, the second part is to get the software set up. I first downloaded the ‘allbest’ build of CHDK from here. The files DISKBOOT.BIN and PS.FIR should be extracted and placed in the root directory of the camera’s SD card (you need a card reader for this). Next, put the card in the camera, and turn it on in play mode (it is important not to go into record mode first). There should be a menu option called ‘update firmware’, select that and agree to everything. This should cause CHDK to load and set up a directory structure on the card. Turn the camera off again, take the card out and put it back in the computer. There should be a CHDK directory on the card now. Copy the following uBasic script to a text file called remote.bas, and save it in the CHDK/scripts/ folder (which should have been created automatically):



The script came from here:


@title Remote button
:loop
wait_click 1
is_key k "remote"
if k=1 then shoot
goto "loop"
end

Now, put the card back in the camera again, and do the firmware load deal again to get the CHDK software running again. CHDK never installs itself on the camera, however there is a way to make it load automatically if you are interested. Get into ALT mode (which assigns different commands to the buttons) by pressing the ‘print’ button on the camera. Once in ALT mode (it should say at the bottom of the display, press the menu button to bring up the CHDK main menu, then select the ’scripting parameters menu’:

Using the CHDK software


Then select ‘load script from file’, choose the remote.bas script created earlier, and make sure ‘enable remote’ is selected in the scripting menu.

Setting things up so the remote is enabled when the camera turns on



Close the menu and press the shutter button to start the script. If all went well, the screen should look something like mine below. Plug in the remote and press the button to take a picture!

Running the script

--------------------------------------------------------------------------------

Thanks to someone over on
this website, I was able to convert a clicky pen into USB shutter release. It is designed for and works great with my CHDK modified A640.



... it's a pen ...


With some electrical tape, my soldering iron, some tin foil, a few batteries and a push button switch, I was able to get this thing working in about an hour.


... it's a USB cable release ...


[Note - you have to use a metal pen that conducts on the inside]


I cut the “computer” end off of the USB cable and soldered the black wire to the negative lead of the battery. I smashed some tin foil down in the end of the pen so that the positive side would make contact with the inside of the metal body. This was conected to one side of the push button switch. The other side was connected to the red lead of the cut USB cable.


Now I can shoot controled single frame animation with my 10 mega pixel camera!


I also got my little bunkers and tanks for the “Combat” shoot which is coming up soon!

***วิธีดูแบงค์จริง มาส่องแบงค์กัน




รู้ไว้ใช่ว่าครับ

ผมลองส่องเฉียงๆ เลขมองไม่ค่อยเห็นนะ อ้าววววว

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 11, 2551

HERO the brown dog




สถานีโทรทัศน์ของชิลีแพร่ภาพนาที สุนัขฮีโร่ วิ่งฝ่ารถยนต์เข้าไปช่วยเพื่อนของมันที่ถูกรถชนกองอยู่กับพื้น บนทางด่วนในกรุงซานติเอโด ต่อมาเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยกันรถให้สุนัขทั้งสองตัว ทั้งตัวที่ตายไปแล้ว และตัวที่เข้าไปช่วย จากนั้นตัวที่เป็นฮีโร่ก็วิ่งหายไป

นอกจากนี้ยังมีผู้โทรศัพท์ไปยังผู้บริหารทางด่วนเพื่อขอรับเลี้ยงสุนัขตัว ดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า จนถึงขณะนี้ยังหาสุนัขในคลิปไม่เจอ

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 04, 2551

Mission Impossible ลดพุง


...

ภาพจาก [ BBC ] & [ BBC ]

และจาก http://www.oknation.net/blog/health2you/2008/11/26/entry-2



ทำบ่อยๆ ทำช้าๆ ทำค้างๆ มันคงทำให้พุงเราลดลงบ้างละน่า


วันอังคาร, ธันวาคม 02, 2551

FW: นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง

กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง


วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์

ปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่ม
ใสดูราวคนอายุ ๕๐ ต้น ๆ หลายปีก่อนท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงตัดสิน
ใจเดินทางกลับเมืองไทย คุณหมอเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้ง
ใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบ
ธรรมชาติบำบัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่
สุด
คุณหมอปฏิบัติตัวสม่ำเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหารเฉพาะผัก ผลไม้ การกิน
วิตามินเสริม การออกกำลังกาย การล้างพิษ การพักผ่อน ทำตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด
มองโลกในแง่บวก ความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป และที่สำคัญคือกำลังใจจากครอบครัว

สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอดพ้นความตายจากมะเร็ง ทุกวันนี้คุณหมอ
ใช้ชีวิตในบ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนคร คอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่
ป่วยเป็นมะเร็ง ในขณะที่มีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทาง
มาหาท่าน คุณหมออารีย์บอกว่า คนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยว และสิ้น
หวัง แต่ การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสำคัญที่สุด เราต้องทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความหวังที่
จะมีชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งจะหายได้นั้น ท่านช่วยได้เพียงครึ่ง
เดียว คือการจัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่าง ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านกิน
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เอง ที่จะยอมปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ ของ
ท่านหรือไม่
๗ อ ที่ว่านี้คือ ควบคุมอาหาร เอาพิษออกจากร่างกาย อารมณ์ดี ไม่เครียด
สูดอากาศบริสุทธิ์ เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอและอิทธิบาทสี่
ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ หลายคนเสียชีวิต แต่หลาย
คนที่ปฏิบัติอย่างจริงจังอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณหมอบอกกับเราว่า
มะเร็งไม่เคยให้โอกาสกับใครเป็นครั้งที่ ๒ ขณะที่มะเร็งกำลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขึ้น
อันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน ลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ แล้วคุณอาจจะรู้ว่า จะเริ่มต้นดู
แลสุขภาพอย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอย่างไร

- คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ
ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่
มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี

- ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย
ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย ที
แรกนึกว่าเป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัด พอไปเอกซเรย์ดู ต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม
เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่ และอยาก
กลับมาอยู่ป่า เพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปีแล้ว
ตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กำลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่า
คงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ พอลูกเตือนสติว่า ไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้
ป๋าผิดคำพูด สู้ไม่จริง ... นั่นแหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหม มะเร็งไม่
เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ๒ ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคิดว่าจะแก้เรื่องเครียด
ยังไง เพราะ ความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งทีเดียว คิดไม่ออก นอน
ปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรือเปล่า ใครจะไปบอก เพราะผม
อยู่ในป่าคนเดียว จนกระทั่ง คิดหาวิธีแก้เครียดได้ คือการคิดแบบตรงกันข้าม
เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้ เพราะ
ชาติที่แล้วกูไปลักของเขามา หรือมีคนด่าเรา ถือเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่า
เราหายเครียด ได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้ ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกัน
ข้ามหมด คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่ เราจะตายก่อนแม่ได้
อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็น
หมอ จะมาตายกับโรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็น
มะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้ไม่ได้ เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการ
ที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง

- มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย
ใช่ครับ แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคน เหี้ยมมากจน
ลือชื่อเลย ผมได้คิดว่าความเหี้ยม สิ่งแวดล้อม บวกกับการกินอาหารซึ่งผมกินเนื้อ
แบบฝรั่งตลอด ทำให้ผมเป็นมะเร็ง แต่พอป่วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้จิต
ต้องเปลี่ยน นิสัยการกินต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด เท่านั้นแหละ ดีวันดีคืน ค่า
มะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓
เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่ต้อง
กินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย
คือเรา ไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้ เกลือแร่และวิตามิน ผมอยู่ในป่า
อาหารที่กินประจำคือข้าวกล้องและใบบัวบก บางทีก็มีคนซื้อกล้วย ซื้อส้มมาฝากบ้าง
- ทำไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับ
เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป่า ผมอ่านหนังสือเจอว่า
คนอายุยืนที่สุดในโลกเป็นคนจีน ชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค . ศ . ๑๖๗๗
ตายเมื่อปี ค . ศ . ๑๙๓๓ เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจำคือโสมจีนและใบ
บัวบก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสีย
ชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐ ปีแค่นั้น ท่านบอกว่าเป็น
เพราะ อาหารและความไม่เครียด ตามจริงถ้าจะรักษามะเร็ง กินแค่นั้นไม่ได้
ต้องกินวิตามินจำนวนมากช่วยด้วย แต่ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเรา
ต้องสู้นะ วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าว
ให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกหายใจนะ อยากจะมีชีวิตอยู่ อยากจะหาย
แต่ก่อนมีความคิดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทำไม มีแต่
สิ่งไม่ดีในโลกนี้ เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือมองไปทางไหนก็เป็นลบหมด เดี๋ยวนี้มอง
อะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สดชื่นไปหมด คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข ฉะนั้นทุกวันนี้ผม
มองโลกในแง่บวก มะเร็งทำให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง ใครชนะมะเร็งได้
เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้น ๆ รู้ทันทีว่าทำไมจิตใจเราเห็น
อะไรดีไปหมด ผมไปสะดุดมีดสะดุดพร้า เท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมัน ที่ช่วย
เตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสีย
ว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า
- คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลย ใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่เครียด ...
ใช่ไหมครับ
อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กิน
ในช่วงนั้น เราต้องถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเรา
ไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสำคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่า
สะสมพิษให้ตับทำงานหนัก อย่าท้องผูก กินอาหารโปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงาน
หนัก เมื่อตับเราดี มันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย
เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรม ดังนั้นความเครียดจึงเป็นเรื่อง
สำคัญที่เราต้องจัดการให้ได้


- หากแก้ปัญหาเรื่องเครียดได้แล้ว โอกาสหายจากมะเร็งก็สูงขึ้น
ก็เรา เคยเห็นคนบ้าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความดัน หรือท้องเสียไหมล่ะ ขนาด
เขาหาของกินจากถังขยะ เคยเห็นคนบ้าเป็นมาลาเรียหรือไม่ แต่อย่าไปตรวจ
เลือดนะ เชื้อมาลาเรียเต็มเลย แต่เชื้อทำอะไรเขาไม่ได้ เชื้อโรคเหล่านี้ความ
จริงมันเป็นเพื่อนเรา ฉะนั้นจิตเป็นเรื่องสำคัญ ทำอย่างไรไม่ให้เครียด
มีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ทีแรกบวชเพราะต้องการ
ทำสมาธิ แต่ทำไม่ได้ คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียน
หนังสือ ผมบอกว่าปล่อยวางซะเถอะครับ ตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัดเถอะ
จากเดิมที่อาการหนักใกล้จะเสียชีวิตอยู่แล้วเพราะเป็นมะเร็งที่เต้านม แล้วเข้าปอด
เข้าสมองแล้ว พูดก็เบลอ ๆ ปรากฏว่าตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียด ตอนนี้
หาย ไม่มีอาการอะไรเลย เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทำสแกนดู ปรากฏว่าเซลล์มะเร็ง
หดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดี ตอนนี้จิตเขาสบายมากเลย
- เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทำไมร่างกายจึงดีขึ้น
หากท่านสามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทำให้จิตของท่านมี
สมาธิ ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อมพิทูอิตารี ให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมา พวกนี้เป็น
ฮอร์โมนที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล
ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดดี ๆ ออกมาเพื่อจะไปกระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงาน จน
กระทั่งต่อมต่าง ๆ ที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ดเลือดขาว ทำงานได้เต็มที่ คือ มัน
เริ่มมาจากจิต เมื่อจิตคิดดีทำดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่
เป็นประโยชน์ออกมาทันที แต่ถ้าจิตมองโลกในทางลบ สมองส่วนนี้แทนที่จะไป
กระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา มันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิต
ฮอร์โมนอะดรินาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่
อ่อนแอออกมา แล้วอย่าลืมว่าโกรทฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิโน ๑๙๑ ชนิด
แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโนพวกนี้มากิน มันอยู่ที่ตับเรา สามารถ
สังเคราะห์ได้หมด การที่จีนฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ตัวนี้หลั่ง คนไข้จะได้
ไม่เจ็บปวด
- ฝึกอย่างไรให้เป็นคนมองโลกในแง่บวก
คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยนทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดี
มาก อาทิตย์เดียวผมเปลี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่
ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอเจอกับตัวเอง ลืมหมด แก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้
อาทิตย์เดียว หน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว ตอนนั้นแหละที่ว่าผมหนัก
มากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้ว ลูกสามคนมาให้กำลัง
ใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะ มะเร็งไม่เคยให้โอกาสใคร
ครั้งที่ ๒ อีกเลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมดกำลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึง
อาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้ ก็หายวันหายคืน กระทั่งทุกวันนี้ ความเกลียดชัง ความ
เครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่ในตัวผมไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้
ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้ามทันที
พระพุทธองค์ท่านบอกว่า จิตอยู่ที่ไหน พลังอยู่ที่นั่น ไอน์สไตน์มีความเชื่อว่า
พลังที่รุนแรงที่สุด มีอำนาจที่สุดในโลกนี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถ
คิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ
กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศึกษาเรื่องจิต ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้
เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทำสมาธิ ท่านก็เลยไม่สำเร็จ เสียชีวิตก่อน ผมติดใจที่
ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธทั้ง ๆ ที่เป็นยิว
- ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับ หรือว่า
เคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผล
ไม่รักษาเลย เพื่อนบอกว่าต้องผ่าตัดก็ไม่เอา เพราะมันไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้
มาอย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเราได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ ก็จบ แต่
ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เราก็ตาย ผมมีเพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผัวเมีย เป็นมะเร็ง
ตายทั้งคู่ เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน คือผ่าตัดและคีโม แต่ผมไม่เอา อันที่
จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบบธรรมชาติมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ จนกระทั่ง
เป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับตัวเองจนหาย ตอนหลังมีโอกาสได้ใช้กับคนไข้
เยอะมาก ก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วย ก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ
- หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้าง
วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับมะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัวของมะเร็งด้วย
การควบคุมอาหาร อย่างแรกคือลดไขมันให้น้อยที่สุด เพราะ ไขมันเป็นอาหาร
อันดับหนึ่งที่มะเร็งชอบที่สุด ตามปรกติในข้าว พืชผักทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่
แล้ว ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน ไขมันที่เรากินทุกวันมัน
เกิด ออกซิไดซ์ เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอ
ถูกความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวก
ปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง คนอ้วนเวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็ว
มากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้เรา อยากให้ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต
เราต้องหยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ย มันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์
เราเหมือนกัน อย่าให้อาหารที่มะเร็งชอบ
อาหารอย่าง ต่อมาที่ต้องลดคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์และพืชโดยเฉพาะถั่วเหลือง
เมื่อเรากินโปรตีนเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญเป็นพลังงานแล้ว
จะเกิดของเสียคือแอมโมเนีย ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวียนกลับไปทำให้ตับต้องทำงาน
หนักเพื่อเปลี่ยนเป็น ยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำไส้ใหญ่ ทำ
ให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลำไส้ใหญ่จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทำ
ให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมดเลย คนท้องผูกจะหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ดัง
นั้น ตับกับไตทำงานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับต้อง
ระวังที่สุด
- คนปรกติต้องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ
คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวัน ฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลำพัง
โปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผัก ผลไม้ก็พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อย
เราก็กินเห็ดซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วยซ้ำ แต่
เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตาเกะ ที่ญี่ปุ่นขายแพงมาก มันมีสารที่ป้องกัน
มะเร็งและสารที่สร้างภูมิต้านทานสูงมาก สารตัวนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแต่เป็น
โปรตีนที่มีประโยชน์
อาหารอย่าง ที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของหวาน อย่างข้าวขาวนี่
เวลาย่อยแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็วมาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บ
ไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ เวลาร่างกายต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอเหลือมัน
กลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่รู้ ก็
เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด ของพวกนี้มันเปลี่ยนเป็นไขมัน ได้ ตับเปลี่ยนไขมันหรือ
น้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและไขมัน



- แป้งขัดขาวทำปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไรครับ
เวลากินของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น กลูโคส มาเลี้ยง
สมองได้เร็วมาก สดชื่นได้เร็วมาก ระดับน้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือด
มาก สมองจะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับ อินซูลิน ออกมา เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้
เป็นพลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ แต่ข้าวที่
เรากินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว ฉะนั้นต้องดึงวิตามินในร่างกาย
ออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบี ทำให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชาและตับ
อ่อนทำงานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเทมัส ส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อน
ผลิตอินซูลินออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แป๊บ
เดียวน้ำตาลลดฮวบเลย เพราะฉะนั้น พวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด
ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก ตอนน้ำตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี
หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบาหวานต้องระวัง จะดุมาก ตอนกินจะอารมณ์ดี
พอถูกเผาผลาญหมด แป๊บเดียวจะอารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า
อยากให้หมาดุ ให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่มใส พอแป๊บ
เดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลย ที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน
หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวก พวกหนึ่งให้หยุดกินของหวานหมด
เลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวาน ปรากฏว่าภายในอาทิตย์
เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ
- คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไปด้วย
ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุดกะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวาน
มาก ๆ ก่อนนอน หรือกินอาหารมื้อหนักก่อนนอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไป
ตอนกลางคืน ไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุดตันที่สมองหรือหัวใจ
สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็นคน
ที่มีไขมันในเลือดสูง อย่างเป็นความดัน ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบา ๆ หรือกินพืช
ผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ ไขมันก็ขึ้นสูง หัวใจทำงาน
หนักเนื่องจากกระเพาะทำงานหนัก เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่างยังทำงานหนัก
พลังงานก็ไม่ได้ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะ
อุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกต ดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับ
เส้นเลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมาก
พวกที่ไหลตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อนก็ไม่พอ ก่อนนอนกินหนัก
มาก
- นอกจากน้ำตาลแล้ว เกลือก็ต้องลดด้วยใช่ไหม
โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วย
โซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มัน
จะดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้
เลือดเราเป็นกรด คนที่สุขภาพดี เลือดต้องเป็นด่างนิดหน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป
เลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทานจะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับ โปแตสเซียม ทำ
ให้เลือดไม่เป็นด่าง

นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซียมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่าง
เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่สบาย


------ เหมือนยังไม่จบครับ ---------- แต่อีเมล์หมดแค่นี้