วันอาทิตย์, กันยายน 28, 2551

marquee code generator และอื่นๆอีกมากมาย

http://htmlbasix.com/marquee.shtml
ไว้สร้างโค้ดคำสั่งครับ
เช่น โค้ด เด้งดึ๋งนี้

กระเด้ง

และยังมีอื่นๆอีก ต้องตามไปดูเอง

วันศุกร์, กันยายน 26, 2551

วันพฤหัสบดี, กันยายน 25, 2551

ทาสีทำนายนิสัย

ลองเล่นดูน้า   เอาแปรง จุ่มสี แล้วเลือกทาของแต่ละอย่างว่าเราจะทาสีไหน



ขอบคุณกระต่ายแสง  ส่งมาให้

วันพุธ, กันยายน 24, 2551

ปรัชญาชีวิตศาสตร์แห่งความสำเร็จ

ได้มาแบบ ยาวๆ  แปะไว้ก่อน  เดวมาอ่าน หุหุ





------------------------------------------------------------------------






คนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความล้มเหลว มักจะทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ทำด้วยทัศนและวิธีคิดที่แตกต่างกันเวลาเราดูการแข่งกีฬาประเภทบางประเภทเช่น สเก็ตน้ำแข็ง หรือ ยิมนาสติก ซึ่งผู้เล่นจะถูกก รรมการกำหนดให้ใช้ท่วงท่า ลีลาการแข่งขันที่เหมือนกัน จะเห็นได้ว่าการแพ้ ชนะ จะอยู่ที่คุณภาพจิตและความคิด ผู้ที่ได้รับชัยชนะมักจะเป็นนักกีฬาที่มีจิตนิ่ง หรือที่ลงแข่งขันด้วยจิตใจที่เบิกบานโดยไม่มีความคิดหวาดกลัวว่าจะแพ้หรือ ชนะ แต่คิดว่าจะขอทำให้ดีที่สุด ณ วินาทีนั้นๆ

 

ระบบความคิดทำให้คนซึ่งมีพื้นเพความรู้การศึกษาเหมือนๆ กัน มีชีวิตแตกต่างกันออกไป จะเห็นได้ว่าในอเมริกามีคนเป็นแสนที่สมัครเข้าเรียนในสาขาคอมพิวเตอร์ วิศวะคอมพิวเตอร์ พร้อมๆ กับที่ Bill Gate เจ้าของบริษัท Microsoft เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเพียง Bill Gate คนเดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างอาณาจักรทางธุรกิจมูลค่า 6 พันล้านเหรียญขึ้นมาได้ เพราะเขามีวิธีคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจและการประยุกต์ใช้ศาสตร์ทีร่ำเรียนมา แตกต่างไปจากคนอื่นๆ

 

การที่ระบบวิธีคิดและการมองโลกของคนเราเป็นพื้นฐานสำคัญของความสำเร็จต่างๆ ทำให้คนจำนวนมากพยายามที่จะศึกษาให้เข้าใจว่าบรรดาคนประเภทที่ได้ชัยชนะและ บรรลุสิ่งที่ตนเองปรารถนาอยู่เสมอๆ เขาดำเนินชีวิตอย่างไร คิดอย่างไร โดยหวังว่าเมื่อเราได้เรียนรู้เงื่อนไขแห่งความสำเร็จของคนอื่น ก็จะสามารถเลือกนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาการดำเนินชีวิตของตนเองให้เอื้อต่อ การประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะทั้งในเรื่องครอบครัว การงาน และการเงิน

 

ปราชญ์ในโลกตะวันตกและโลกตะวันออกตลอดจนบรรดาหนังสือแนวสร้างกำลังใจ (inspirational) ได้กล่าวถึง psychology of the winner หรือเคล็ดลับของความสำเร็จที่มนุษย์ทุกคนควรจะได้เรียนรู้หรือเอาไว้คล้าย คลึงกัน ดังนี้

 

1. การระมัดระวังความคิด

ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจมหาศาล เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำ และเป็นสิ่งที่ผลักดันให้จินตนาการของมนุษย์ให้กลายเป็นความจริง คนเราจะทำอะไรได้สำเร็จจะต้องเคยคิด ไตร่ตรองเรื่องนั้นมาก่อนอย่างรอบคอบในใจ แล้วค่อยๆ ลงมือกระทำ

 

ดัง นั้น จึงมีคำพูดที่ว่า คนเรา คิดอะไรก็ได้อย่างนั้น คิดดี ก็ได้ดี คิดว่าตนเองไม่มีคุณค่า ตนเองก็ไม่มีคุณค่า คิดว่าตนเองจะประสบความสำเร็จ ก็จะทำสำเร็จ คิดว่าตนเองทำไม่ได้ ก็จะทำไม่ได้ You are what you think. ความจริงเป็นเช่นนั้น

 

ดังนั้น คนเราต้องระมัดระวังให้มากว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เรามีความคิดที่ดูถูกดูแคลนตนเองหรือความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของ เราหรือไม่ อะไรเป็น dominating thought ของเรา Napoleon Hill ได้ศึกษาบุคคลที่ประสบความสำเร็500 คน ทั่วอเมริกาและพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่สามารถทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำกลายเป็น dominating thought คือ คิดถึงแต่เรื่องดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ปล่อยให้จิตใจถูกชักจูง ลากพาไปโดยเรื่องอื่นๆ ที่ไม่มีความสำคัญ

 

นอกจากนี้ คนที่จะคิดแล้วประสบความสำเร็จ ต้องเป็นคนที่มีนิสัยคิดอะไรตลอดรอดฝั่ง คือตั้งใจคิดอย่างถึงที่สุด ให้ละเอียดรอบคอบชัดเจน (Think accurately) มิใช่คิดอะไรแบบพอผ่านๆ ไปที หรืออาศัยการเดามากกว่าจะใช้วิจารณญานอย่างเต็มที่

 

2. การตั้งเป้าหมายให้ชีวิตแต่เนิ่นๆ

มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่มีใครรู้ว่า เราเกิดมาทำไม มีหน้าที่อะไร จะเดินทางไปไหน และอีก

10 ปี หรือ 20 ปี ข้างหน้า เราจะเป็นอย่างไร อะไรคือจุดมุ่งหมายในชีวิต ผลของการไม่มีแผนที่ทำให้เรามีอิสระที่จะเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตนเอง ในขณะเดียวกัน การที่ชีวิตไม่มีแผนที่ ก็บังคับให้เราต้องขวนขวายหาอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรงต่างๆ มาช่วยให้การเดินทางของเราเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด เครื่องทุ่นแรงดังกล่าวก็ได้แก่ ความรู้ สติ สมาธิความเพียร

 

แต่เครื่องทุ่นแรงใดๆ ก็ไม่สำคัญต่อการเดินทางไกลมากไปกว่าการมีเข็มทิศ ซึ่งในกรณีนี้คือการมีเป้าหมายสำคัญแน่นอนในชิวิต ดังนั้น บทแรกของหนังสือ self-help เรื่องกฎเหล็กแห่งความสำเร็จทั้งหลาย จึงต้องเริ่มต้นด้วยการแนะนำให้คนรู้จักสร้างเป้าหมายที่แน่นอนและสำคัญให้ กับชีวิตก่อน

 

คนที่จะประสบความสำเร็จในทางใดทางหนึ่ง จะต้องเป็นคนที่ถามตนเองอยู่เสมอว่า ตนเองต้องการจะเป็นอะไร ต้องการอะไร ปรารถนาจะบรรลุ สิ่งใดในชีวิตเข็มทิศทำอะไรอยู่ที่ไหน ที่สุดแล้วก็คือตัวของเราที่จะต้องเขียนแผนที่ชีวิต ด้วยการค่อยๆ คิด ค่อยๆ เลือกเป้าหมายให้ตนเอง คนที่ไม่เคยถามตัวเองอย่างจริงจัง ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเราต้องการอะไร กำลังทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป ก็เปรียบได้กับขอนไม้หนึ่งท่อน ที่ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ มักจะถูกพัดพาไปตามการเปลี่ยนแปลงของคลื่นลม กระแสน้ำ และสิ่งแวดล้อมภายนอก ยากที่จะเดินทางถึงฝั่งเพราะยังไม่เคยมีความรู้ว่าฝั่งทะเลที่ต้องการเดิน ทางไปอยู่ในทิศทางไหน

นอกจากนี้ การสร้างเป้าหมายแน่นอนในชีวิต เป็นการนำกฏธรรมชาติมาใช้ในการสร้างพลังชีวิต

 

กฎธรรมชาติอย่างหนึ่งเกี่ยวกับตัวมนุษย์ก็คือ การเคลื่อนไหวทุกอย่างในร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปการกระทำ หรือคำพูดถูกบงการด้วยสิ่งที่เรียกว่าความคิด หากเราไม่เคยมีความคิดที่อยู่ในรูปของเป้าหมาย การกระทำ และ คำพูดของเราก็จะเลื่อนลอย ไร้พลัง เป็นเพียงแค่การโต้ตอบสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มากระทบตามสัญชาติญานเดิม

 

ถ้าไม่มีเป้าหมายชัดเจน เราก็จะเป็นคนที่ไม่มีบุคลิกภาพมุ่งมั่น ดูไม่จริงจัง ไม่น่าเชื่อถือ เหมือนทำไปอะไรไปเรื่อยๆ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ชั่ง เป็นบุคลิกภาพที่จะไม่มีใครไว้วางใจให้ทำอะไรสำคัญ เพราะดูก็รู้ว่าคนๆ นี้ ขาดสิ่งที่เรียกว่า พลังชีวิต

ในการตั้งเป้าหมายชีวิต สิ่งที่ต้องระวังก็คือ เป้าหมายที่ตั้งไว้ต้องไม่กว้าง ไม่เลื่อนลอยจน

เกินไป ประเภทที่ตั้งไว้ว่า อยากรวย อยากมีชื่อเสียง อยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ เหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายเลื่อนล อย ต้องจำกัดวงให้แคบลงว่า ต้องการรวยด้วยการทำอาชีพใด หรือธุรกิจแบบไหน ถ้าต้องการมีชื่อเสียง ต้องการชื่อเสียงในทางใด จะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง เป็นนักฟิสิกส์ชื่อดัง หรือจะเป็นนักการเมืองที่คนทั้งแผ่นดินต้องรู้จัก

 

เป้าหมายที่แน่นอนในใจยังมีผลช่วยกระตุ้นให้จิตใต้สำนึกเราทำงานอีกด้วย ยิ่งเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เห็นภาพในใจได้ละเอียดมากเท่าใด จิตใต้สำนึกเราก็จะมีความเข้าใจ และช่วยเราคิดหาหนทางเดินทางไปสู่เส้นชัยได้มากเท่านั้น แต่ถ้าเป้าหมายไม่ชัดเจน จิตใต้สำนึกของเราก็เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์บางอย่าง ซึ่งถ้าเราป้อนข้อมูลยังไม่ครบถ้วน ยังไม่ถูกต้อง ก็จะไม่ยอม function ต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถคิดวางเป้าหมายให้ตนเองได้เหมือนกันหมด คนที่จะเขียนแผนที่ชีวิตให้ตนเอง จะต้องเป็นคนที่มีนิสัย Proactive หรือ เป็นคนที่ต้องการ รู้และเลือกด้วยตนเองหรือคนที่มีเชื่อว่าคนเราไม่ควรยอมให้จิตใจของเราตกอยู่ใต้อิทธิพลของความ เคยชินเดิมๆ ไม่ตกเป็นทาสประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ถูกครอบงำโดยเพื่อน ญาติพี่น้อง แฟชั่น หรือแนวโน้มของสังคม แต่เราจะต้องเป็นผู้คิด ตัดสินใจ และเลือกทุกอย่างอย่างมีสติด้วยตนเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราต้องมีความเชื่อว่าตัวเราเป็น programmer ที่ สามารถ programme ชีวิตเราเองได้ ท่านผู้ใดต้องการฝึกนิสัย proactive ผู้เขียนขอแนะนำให้ลองอ่านหนังสือของ Steven Covey เรื่อง 7 Habits of Highly Effective People หรืออาจสร้างนิสัย proactive ได้ด้วยการฝึกฝนสติ เพราะนิสัย proactive และสติเป็นตัวเดียวกัน

ในการตั้งเป้าหมายชีวิต นอกจากจะต้องตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงต้นของชีวิต ยิ่งเร็วยิ่งดีแล้ว ยังมีอีกสองเรื่องที่เราต้องคำนึงถึง คือ

 

เราต้องถามตนเองอยู่เสมอว่าเป้าหมายของเราเป็นสิ่งที่ยุติธรรมสำหรับคนอื่น หรือไม่ เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วขงจื้อกล่าวว่า หากจุดมุ่งหมายของเราจะทำสำเร็จได้ เราต้องสร้างความเดือนร้อนให้ผู้คนมากมาย ย่อมเป็นจุดหมายที่ขัดอาณัติสวรรค์ ขัดต่อประสงค์ของฟ้าดิน ในที่สุดเราต้องถูกโจมตีขัดขวางจากทุกฝ่าย จนยากที่จะประสบผลสำเร็จได้อย่างจีรังยั่งยืน

เป้าหมายเมื่อตั้งเอาไว้แล้ว สามารถปรับเปลี่ยนได้ ถึงมีเป้าหมายแน่นอนอยู่แล้ว คนที่ฉลาดก็จะต้องมีการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์จุดมุ่งหมาย ของตนเองอยู่เสมอว่า เป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือเปล่า เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เราเติบโตขึ้น มีเงื่อนไขใหม่ๆ สิ่งที่เราต้องการในอดีตอาจจะไม่เหมาะกับเราอีกต่อไป ถ้าถามตนเองแล้วได้คำตอบว่าไม่ใช่ เราก็จะได้หาทางเปลี่ยนเส้นทาง อย่าปล่อยให้เกิดกรณีเข็นครกขึ้นภูเขาผิดลูก คือหลังจากทุ่มเทแรงกายแรงใจไปเกือบทั้งชีวิต แล้วมาตระหนักภายหลังว่าเป้าหมายนั้นๆ ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ

 

3. การแสวงหาความรู้ที่จำเป็น

ความรู้ที่จำเป็นต่อความสำเร็จมีอยู่สองประเภท คือ

ประเภทแรก คือ ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (expertise) ในสิ่งที่เราทำอยู่ คนเราจะทำอะไรได้สำเร็จ ก็ต้องมีความรู้ความชำนาญในเรื่องนั้นๆ พอควร ถ้าจะให้ดี ก็คือควรมีความรู้ความเชี่ยวชาญจนถึงขั้นทำได้ดี และทำได้ดีกว่าใครๆ อีกหลายคน จึงจะสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้

 

ความรู้ประเภทที่สอง ได้แก่ความรู้ที่สร้างให้เรามีบุคลิกภาพประเภทที่สามารถฝ่าลม ฝน พายุ ต่างๆ ในชีวิตได้ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และสามารถเปลี่ยนความรู้ระดับที่เป็น fact ให้เป็นโอกาสได้

 

โสคราติส ปราชญ์ชาวกรีก เห็นว่าความรู้ที่จะทำให้เรามีบุคลิกแบบสามารถฝ่าลม ฝน พายุต่างๆ ในชีวิต และเปลี่ยน fact เป็นโอกาสได้ มีองค์ประกอบคือ

 

ความรู้ที่จะทำให้คนเรามีการตัดสินใจ มีวิจารณญานเลือกการกระทำได้อย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์

ความรู้ที่จะทำให้เราทันคน ทันสถานการณ์ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี (EQ)

ความรู้ที่จะทำให้เรามีอารมณ์ชนิดที่ไม่ขึ้นลงตามความสุขและทุกข์มากจนเกิน ไปนัก ไม่หลงระเริงไปกับความสำเร็จชั่วครั้งชั่วคราวจนเสียศูนย์

ความรู้ที่จะทำให้เรามีความซื่อสัตย์ กล้าหาญ เมตตา และรับผิดชอบ

 

ขงจื้อมีคำแนะนำต่างออกไป เกี่ยวกันเรื่องถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วชาติหนึ่ง ต้องเรียนรู้อะไร จึงจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมากที่สุด เขาเห็นว่าแม้คนเราจะเกิดมามีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่คนเราสามารถค่อยๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ตนเองให้เป็น ยอดคนได้ด้วยวิธีง่ายๆ แบบพลิกฝ่ามือโดยการทำอะไรก็ให้ ใช้สมาธิตั้งใจดูและตั้งใจฟังและด้วยการถามตนเองอยู่เรี่อยๆ ว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองเห็นอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว จึงจะฟังให้เข้าใจได้หมด

 

เมื่อเราตั้งใจดู ตั้งใจฟัง คำตอบต่างๆ ในชีวิตจะผุดขึ้นมาเองจากภายใน เมื่อเราตั้งใจดู ตั้งใจฟัง เราจะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ มีความเข้าใจเรื่องต่างๆ ลึกซึ้ง ถี่ถ้วน ถ่องแท้ และเมื่อเราตั้งใจดู ตั้งใจฟัง เราย่อมเป็นคนที่มีการกระทำตั้งอยู่บนพื้นฐานของสมาธิเป็นหลัก

 

นอกจากนี้ขงจื้อยังแนะนำด้วยว่า คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กัน เพราะการเรียนรู้โดยไม่คิดทำให้เราอาจได้ข้อมูลที่ผ่านการตีความผิดพลาดมา จากคนอื่น แต่ถ้าเราเอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ความคิดของเราก็ยังอยู่ในระดับการคาดเดาหรือที่เรียกว่า speculation ย่อมจะเกิดการผิดพลาดขึ้นได้ง่ายๆ

 

4. การมีความเพียรสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง (persistence)

ผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมี วิริยะ อุตสาหะและความเพียรที่ สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง

ความ สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ซึ่งปรารถนา อะไรมากๆ พอเจอปัญหาต่อเนื่องเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ก็จะเริ่มเบื่อ เลิกรา ยอมแพ้ ส่วนกิจการใหญ่ๆ ต่างๆ นั้น จะทำให้สำเร็จได้บางกิจการใช้เวลาเป็นห้าปี สิบปี กว่าที่จะได้เห็นการเจริญเติบโต ดังนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จได้ จะต้องมีความเพียรระดับที่ไม่ธรรมดา ซึ่งความเพียรลักษณะดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เราต้องมีเป้าหมายที่แน่นอน ต้องมี burning desire เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำอยู่ และที่สำคัญที่สุดคือเราต้องมี Plan of Actions ที่ชัดเจน เพื่อที่เราจะได้รู้ว่างานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลาเท่าไร ใช้ทรัพยากรอะไร ขณะนี้งานของเราดำเนินมาถึงขั้นตอนใดแล้ว เพื่อให้เรามีความคาดหวังที่ถูกต้อง และสามารถประเมินผลสำเร็จของงานได้อย่างชัดเจน ไม่มี false expectation และไม่มีการหลอกตนเอง

 

5. การรู้จักสร้าง อภิจิตหรือ Master Mind Group

อภิจิต คือกลุ่มพันธมิตรที่มีจำนวน 2 คน ขึ้นไป เป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อ ความคิด อุดม

การณ์ และจุดมุ่งหมายเดียวกัน ที่สำคัญคือเวลาทำงานร่วมกันแล้วมีความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

กลุ่มอภิจิตมีความสำคัญยิ่งเนื่องจาก ความรู้ ความสามารถเป็นอำนาจที่ทรงพลังมากที่สุดอย่างหนึ่งในการดำเนินธุรกิจการงาน แต่อำนาจของความรู้ความสามารถนี้ เราสะสมเองได้ยาก จะใช้เวลาเรียนหนังสือหาประสบการณ์ทั้งชีวิตก็คงไม่สามารถจะเก็บเกี่ยว ประสบการณ์ได้เพียงพอ ดังนั้น คนที่ต้องการประสบความสำเร็จจึงต้องพยายามสร้างกลุ่มเพื่อน พันธมิตรทางธุรกิจที่เรียกว่า อภิจิต ขึ้นมาหลายๆ คน เพื่อมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

เหตุผลประการที่สองที่ทำให้อภิจิตมีความสำคัญ ได้แก่การทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่า synergy

 

เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าพลังความคิดของคนเราเป็นเรื่องแปลก เวลาเราคิดคนเดียวจะมีข้อจำกัดมาก แต่ถ้าคนสองคนหรือมากกว่าสองคนมาร่วมกันคิดจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า synergy

หรือเป็นปรากฎการณ์ที่เมื่อพลังความคิดของคน 2 คน รวมกันแล้ว จะได้ผลดีกว่าคน 2 คนแยกกันทำงานและแยกกันคิด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในสูตรคณิตศาสตร์ปรกติแล้ว 1+1 เท่ากับ 2 แต่ในสูตรของ synergy นั้น 1+1 มากกว่า 2 เสมอ และยิ่งเมื่อสามารถทำงานกันเป็นทีมหลายๆ คน ผลลัพท์ที่ได้ก็จะยิ่งใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากขึ้น ความเชื่อเรื่อง Synergy ส่งผลให้ Business School ทั่วอเมริกามีการจัดระบบการทำงานของนักศึกษาให้ทำรายงานเป็นทีม เสนอ presentation เป็นทีม และมีกำหนดการให้นักศึกษาไปทำการบ้านร่วมกันเป็นทีม เพื่อปลูกฝังนิสัยการสร้าง synergy ระหว่างกลุ่มบุคคลให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่

การจะสร้าง synergy ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเลือกคบเฉพาะคนที่คิดเหมือนเราทุกอย่าง จะมีความคิดต่างกันสุดโลกก็ยังเกิด synergy ได้ แต่อย่างน้อยคนสองคนนี้จะต้องมีเป้าหมาย และอุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกับเรา และที่สำคัญคือมีความปรารถนาดีต่อกันอย่างแท้จริง

 

6. การรู้จักนำเอา psychic power หรือ sixth sense มาใช้ประโยชน์ Napoleon Hill กล่าวไว้ว่าประสาทสัมผัสที่หกหรือ sixth sense ก็คือคุณสมบัติทำให้ genius ทั้งหลายต่างจากคนธรรมดาๆ และประสาทสัมผัสที่หก ในความหมายนี้ก็คือ การมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความรู้ที่เกิดขึ้นมาเองว่า อะไรใช่ ไม่ใช่ อะไรควรทำ ไม่ควรทำ อันเป็นความรู้ที่เกิดมาจากภายใน ไม่มีใครมาบอก

 

ประสาทสัมผัสที่หกจะมีขึ้นได้ คนๆ คนจะต้องมีกำลังสมาธิสูง และสามารถเอาใจไปจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ เมื่อเราสามารถจดจ่อความคิดอยู่ที่เรื่องบางเรื่องได้นานๆ ความรู้ภายในเกี่ยวกับเรื่องนั้นก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประสาทสัมผัสที่หกเป็นผลจาก power of concentration หรือสมาธิ

 

7. มีการตัดสินใจที่ดี

บุคคลที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่มักจะมีการตัดสินใจที่ฉับไว ทันสถานการณ์ เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้ว ไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ ส่วนคนที่ล้มเหลวในชีวิต มักมีนิสัยไม่ชอบตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจไปแล้วก็จะเปลี่ยนใจอยู่ตลอดเวลา

 

คนเราจะมีการตัดสินใจที่ดีได้ จะต้องมีวิจารณญานที่ดี วิจารณญานที่ดีจะเกิดได้ จะต้องมีเงื่อนไขต่างๆ ดังต่อไปนี้

การมีสติ สมาธิ และความรู้ความเชี่ยวชาญ การเลือกคบคน

และการไม่แวดล้อมตนเองด้วยคนที่มองโลกในแง่ร้าย อิจฉาริษยา ซึ่งมองโลกไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้เรารับนิสัยมองโลกไม่ตรงตามความเป็นจริงมาด้วย

เลือกรับฟังความเห็นเฉพาะที่เป็นความคิดเห็นของกลุ่ม Master Mind หรือศึกษาประวัติของมหาบุรุษ/สตรี ในโลก เพื่อเรียนรู้วิธีคิด การตัดสินใจ การมองโลก ข้อผิดพลาด และความล้มเหลว และใช้ประสบการณ์ของท่านเหล่านี้เป็นแบบอย่างในใจ

 

8. การมีทัศนะคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับความล้มเหลว

คนประเภทที่เป็น the winner แท้จริงก็คือคนที่เมื่อประสบความพ่ายแพ้แล้วยังมีความ อดทนสามารถลุกขึ้นก้าว ต่อไปข้างหน้าได้อีก ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม คนแบบนี้ มองเห็นความผิดพลาดเป็นครู และไม่ยอมจำนนกับอะไรง่ายๆ ส่วนคนแพ้ จริงๆ ก็คือคนที่ล้มหนเดียว ก็หมดแรง สิ้นกำลังใจจะทำอะไรต่อไปในชีวิ

 

นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลทุกคนย่อมจะสามารถยืนยันความจริง เรื่องนี้ได้ เพราะในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา จะต้องมีการลองผิดลองและผ่านการทดลองที่ล้มเหลวมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันหนก่อน ที่การทดลองจะประสบผลสำเร็จ

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนอเมริกันมักจะนึกถึงตัวอย่างของประธานาธิบดี Abraham Lincoln ซึ่งมี list ความล้มเหลวในชีวิตยาวเหยียดก่อนที่จะมาเป็นประธานาธิบดี กล่าวคือ Lincoln พอเริ่มทำธุรกิจก็ล้มละลาย หลังจากนั้นเคยสติวิปลาศไปชั่วเวลาหนึ่ง ต่อมาพอเริ่มเล่นการเมืองก็สอบตบหลายครั้ง ชิงตำแหน่งส.ส. ของรัฐอิลลินอยส์ ไม่สำเร็จหนึ่งครั้ง สมัครตำแหน่งสมาชิกสภา Congress สหรัฐฯ ก็สอบตก ชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่สำเร็จสองครั้ง ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีไม่สำเร็จในปี 1866 จนสี่ปีให้หลังจึงได้มาเป็นประธานาธิบดีในปี 1860

คนอเมริกันจะคิดอยู่เสมอว่า เส้นทางชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานแบบของ Abraham Lincoln คือเส้นทางปกติของคนที่ต้องการประสบความสำเร็จ ตัวอย่างเรื่องนี้ในไทยคงไม่ต้องดูกันไกล ถ้าใครลองไปอ่านประวัติของท่านนายกทักษิณ ชินวัตร ในตาดูดาว เท้าติดดิน คงจะได้เห็นความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

 

9. การรู้จักความมั่งคั่งที่แท้จริ

คนที่จะประสบความสำเร็จได้ จะต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างดีดุลยภาพ อีกนัยหนึ่งคือรู้ว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้น ต้องประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้

การมองโลกในแง่ดี (positive mental attitude)

สุขภาพร่างกายแข็งแรง (sound physical health)

มีมนุษยสัมพันธ์ดี (harmony in human relations)

เป็นอิสระจากความกลัว (freedom from fear)

การรู้จักแบ่งปันความสุขให้คนอื่น (willingness to share one’s blessing with others)

มีใจเปิดกว้างรับพังความคิดเห็นของคนอื่น (open mind)

มีระเบียบ วินัย (selfdiscipline)

วันอังคาร, กันยายน 23, 2551

ขาย Phantom 200 CC Natural trail -


http://floridaza.multiply.com/journal/item/37/37
ช่วยน้องโอ๋ ขายไซต์ครับ

ใครสนใจติดต่อน้องโอ๋

มาเล่นกับ JuDY กัน มังกรแสนกล

สัตว์เลี้ยงของเล่นจาก HI5 พามาเล่นที่นี่ อิอิ


อาบน้ำ ป้อนอาหาร จักจี๋กันได้นะ

หน้าหนาวมาเร็ว

สองสามวันมานี้ ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นฤดูหนาว นิดๆครับ

เริ่มจาก ได้กลิ่นดอกพญาสัตบรรณบาน  ได้เห็นดอกชมพูพันทิพย์บาน

ได้เห็นฟ้าใสไร้เมฆ

มีลมเย็นๆยามเช้า

ตะวันยังไม่อ้อมข้าวเท่าไร่เลย สัมผัสอากศเย็นมาแล้ว


ปีนี้ไม่รู้หน้าหนาวจะหนาวมาก หนาวนานมั้ยน้อ



มล. คิดต่อไปว่า

น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็ว ความร้อนในโลกถูกใช้ไปมากในการละลายน้ำแข็งมั้ง

น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็ว น้ำเย็นๆเลยไหลกระจายลงมารอบโลก  เอ  มั่วไปป่าวหว่า

วันอาทิตย์, กันยายน 21, 2551

ทฤษฎีเกี่ยวกับอัจฉริยบุคคล

ท่องเนตไปพบมาครับ จากhttp://pioneer.chula.ac.th/~yongyudh/papers/A-Theory-about-Genius.htm


เลยเอามาแปะ ไว้เผยแพร่





A Theory About Genius

ทฤษฎีเกี่ยวกับอัจฉริยบุคคล

โดย

Michael Michalko


เรียบเรียงจาก....http://members.ozemail.com.au/~caveman/Creative/Genius/michalko.htm

เกี่ยวกับผู้เขียน

Michael Michalko เป็นผู้ชำนาญทางความคิดสร้างสรรค์ผู้หนึ่ง เชี่ยวชาญในการฝึกอบรมความคิดสร้างสรรค์สำหรับองค์การต่างๆ เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Thinkertoys (คู่มือความคิดสร้างสรรค์ทางธุระกิจ) และเรื่อง ThinkPak (สำรับการระดมความคิด). หนังสือเล่มใหม่ของเขาคือ Cracking Creativity (ความลับของคนอัจฉริยะทางสร้างสรรค์) จะพิมพ์เสร็จในราวเดือน พฤษภาคม, 1998. ติดต่อและให้ข้อเสนอแนะเขาได้ที่ michalko@frontiernet.net.


อัจฉริยบุคคลสร้างความคิดต่างๆได้อย่างไร ? อะไรคือส่วนเหมือนของความคิดที่สร้างสรรค์ของภาพ "Mona Lisa," และการเกิดแพร่ขยายของทฤษฎีสัมพันธภาพ ? อะไรคือลักษณะประวัติศาสตร์ทางยุทธวิธีการคิดของ Einsteins, Edisons, da Vincis, Darwins, Picassos, Michelangelos, Galileos, Freuds, and Mozarts ? เราสามารถเรียนรู้อะไรบ้างจากเขาเหล่านั้น ?

เป็นเวลาหลายปีที่ผู้รู้และนักวิจัยพยายามศึกษาอัจฉริยบุคคลผ่านสถิติที่สำคัญ ด้วยข้อมูลกองโตที่จะบ่งบอกเรื่องนี้ การศึกษาอัจฉริยบุคคลในปี1904 ของเขา Havelock Ellis บันทึกไว้ว่า อัจฉริยบุคคลมักมีพ่ออายุราว 30 ปีและมีแม่อายุราว 25 ปีมักเจ็บป่วยตอนวัยเด็ก ผู้รู้อื่นรายงานว่าหลายคนมักเป็นโสด (เช่น Descartes), หลายคนกำพร้าพ่อ (เช่น Dickens) หรือกำพร้าแม่ (เช่น Darwin). ในที่สุดข้อมูลกองโตเหล่านี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อื่นใดเลย

ในทางการศึกษาพยายามเชื่อมโยงด้วยการวัดระหว่างความฉลาดกับความเป็นอัจฉริยะ แต่ความฉลาดอย่างเดียวไม่เพียงพอ Marilyn von Savant ผู้มี IQ สูงสุดถึง 228 ตามที่มีการบันทึกไว้ไม่เคยสร้างผลงานอะไรให้ปรากฏทั้งทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ นอกจากการเป็นนักเขียนคอลัมท์ถาม-ตอบของนิตยสาร Parade เท่านั้น นักฟิสิกซ์ชนิดเข้ากรุหลายคนมีคะแนนความฉลาดสูงกว่าผู้ได้รางวัลโนเบลคือ Richard Feynman ซึ่งถือว่าเป็นอัจฉริยบุคคลชาวอเมริกันคนล่าสุด (เขามี IQ แค่ยอมรับได้เพียง 122).

อัจฉริยบุคคลไม่มีผลเกี่ยวกับคะแนน1600 ในการทดสอบความสามารถและทัศนะคติ (SAT) ซึ่งทดสอบเกี่ยวกับความสามารถในการรู้ภาษา ๑๔ ภาษาในระดับอายุ ๗ ขวบ ทำแบบฝึกหัด Mensa ด้วยเวลาที่รวดเร็ว การมีคะแนนความฉลาดที่สูงพิเศษ หรือแม้กระทั่งมีความปราดเปรื่อง หลังจากพิจารณาการโต้แย้งนำโดย Joy. P. Guilford นักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เน้นความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ในยุค 60's หลายคนสรุปตรงกันว่า ความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนกับความฉลาด คนบางคนมีความคิดสร้างสรรค์ห่างกันกว่าเขาหรือเธอที่ฉลาด หรือมีคะแนนการทดสอบความฉลาดห่างกันจากคะแนนความคิดสร้างสรรค์

คนส่วนมากมีความฉลาดโดยเฉลี่ย สามารถจัดการข้อมูลหรือตอบสนองปัญหาได้ตามที่คาดหวังทั่วไป เช่นเมื่อถามว่า "อะไรคือครึ่งหนึ่งของ ๑๓ ?" คนส่วนมากตอบได้ทันทีว่า ๖ ครึ่ง ท่านเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับคนทั่วไป

ปกติเรามักคิดในแง่การคิดซ้ำๆ กับปัญหาที่คล้ายปัญหาเดิมๆในอดีต เมื่อเราเผชิญปัญหาต่างๆ เราจะระลึกถึงคำตอบในอดีตที่ได้ผลมาแล้ว เรามักถามว่า "อะไรที่เคยคิด เคยเรียน หรือเคยทำมากับปัญหานี้ในชีวิต ?" แล้วเราก็วิเคราะห์เพื่อเลือกแนวคิดที่เหมาะสมตามประสบการณ์ในอดีต เว้นแนวทางอื่นออกไป และทำเฉพาะแนวคิดที่กระจ่างตรงไปที่คำตอบของปัญหานั้น เพราะเป็นขั้นตอนที่มั่นคงตามประสบการณ์ เรามักยะโสในข้อสรุปนี้เป็นความถูกต้องเสมอ

ในทางกลับกัน อัจฉริยบุคคลมักคิดใหม่ ไม่คิดซ้ำๆแบบเก่า เมื่อเขาเผชิญปัญหาเขามักถามว่า "มีแนวทางที่แตกต่างมากน้อยเพียงไรที่ข้าพเจ้าควรมองหา ?" "ข้าพเจ้าสามารถทบทวนความคิดที่พบได้อย่างไร ?" และ "จะมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ?" แทนการกล่าวว่า "อะไรที่ข้าพเจ้าเคยถูกสอนมาให้แก้ปัญหานี้ ?" เขามักชอบตอบสนองที่ต่างจากธรรมดาทั่วไปและมักเป็นพิเศษ นักคิดใหม่ที่ก่อประโยชน์แบบนี้ (productive thinkers) มักกล่าวว่า มีวิถีทางที่แตกต่างมากมายในการตอบสนอง "๑๓" และการลดครึ่งที่แตกต่างกัน ดังแสดงตัวอย่างต่อไปนี้

Half of Thirteen

(หมายเหตุ: ดังที่ท่านเห็น, ในการเพิ่มเติมค่า ๖ ครึ่ง โดยสนองตอบกับค่า ๑๓ ในลักษณะต่างๆกัน และการลดครึ่งในความแตกต่างนั้น อาจกล่าวได้ว่าครึ่งของ ๑๓ คือ ๖ ครึ่ง หรือ ๑ และ ๓ หรือ ๔ หรือ ๑๑ และ ๒ หรือ ๘ และ ฯลฯ)

ด้วยการคิดใหม่ ใครๆสามารถกำหนดทางเลือกได้มากมายเท่าที่จะกระทำได้ ท่านสามารถพิจารณาแนวทางที่เบลอได้เท่ากับแนวทางที่เด่นชัด มันเป็นความเต็มใจที่จะสำรวจแนวทางทั้งหมดเป็นสำคัญ แม้ว่าสิ่งที่พบเป็นแค่ความหวังเท่านั้น Einstein ครั้งหนึ่งเคยถูกถามว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่างเขากับคนอื่นทั่วไป เขาตอบว่าถ้าท่านขอร้องให้คนทั่วไปหาเข็ม ๑ เล่มในกองฟาง เขาจะหยุดทันทีเมื่อเขาพบเข็ม ในทางกลับกัน เขาคนนั้นควรแหวกฟางต่อไปเพื่อค้นหาเข็มเล่มอื่นๆที่อาจมีอีกในกองฟางนั้น

ท่านอธิบายลวดลายที่ปรากฏในตัวอย่างนี้อย่างไร ? คนส่วนมากมองเห็นลวดลายเป็นรูปโครงร่างสี่เหลี่ยมที่ประกอบด้วยรูปสี่เหลี่ยม หรือรูปวงกลมหลายๆรูปเรียงต่อกันเป็นแถวๆสลับกันไป

Circles and Squares

มันไม่ง่ายที่จะมองเห็นเป็นแถวของเสาสี่เหลี่ยม หรือเสากลมต่างๆ แต่เมื่อมีคนบอกเราจึงเห็น นี่เป็นเพราะเรามักใช้ความเคยชินในการนำสิ่งที่เห็นไปเหมือนกับประสบการณ์ที่สั่งสมในใจของเราในอดีต อัจฉริยบุคคลมักไม่คิดและทำอะไรตามนิสัยเดิมๆ แต่จะมองทางเลือกอื่นๆเพื่อคิดและทำใหม่

เมื่อไรก็ตามที่ Richard Feynman ผู้เคยได้รางวัลโนเบล คิดไม่ออกกับปัญหาใดปัญหาหนึ่ง เขามักสร้างยุทธวิธีใหม่ๆทางความคิด เขารู้สึกว่าความเป็นอัจฉริยะของเขาเกิดจากความสามารถที่จะไม่อ้างถึงวิธีคิดของคนอื่นๆที่แล้วมากับปัญหานั้น เขากลับสร้างความคิดใหม่ขึ้นแทนที่ ดังนั้นเขาเลยไม่แยแสกับความคิดที่ไม่สามารถแก้ปัญหานั้นๆได้ เขาจะมองหาแนวทางที่แตกต่างมากมายจนกว่าจะพบการเปลี่ยนแปลงจินตนาการของเขา เขาช่างเป็นนักคิดใหม่เพื่อประโยชน์ทีเดียว

Feynman เสนอการสอนการคิดใหม่ๆ ในระบบการศึกษาของเราแทนการคิดแบบเดิมๆ เขาเชื่อว่าผู้ใช้คณิตศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จคือ ผู้ประดิษฐ์คิดค้นทางใหม่ของความคิดในสถานะการณ์นั้นๆ เขายังเชื่อต่อไปอีกว่าแม้แนวทางเดิมของความคิดคนอื่นที่เคยดีเด่น ก็ไม่ดีเท่ากับวิธีคิดที่เราเองสร้างขึ้นมา และเป็นแนวทางใหม่ที่สะท้อนมาจากการค้นพบของตนเอง

ปัญหา 29 + 3 ถูกพิจารณาว่าเป็นปัญหาของชั้นเรียนระดับสาม แต่เพราะมันต้องการวิธีการที่ก้าวหน้า Feynman ชี้ให้เห็นว่าชั้นเรียนระดับแรกการบอกจำนวนเลขนั้น เด็กคนหนึ่งสามารถเรียงจำนวนโดยการบอกจำนวนเลข 30, 31, 32. ด้วยวิธีการเว้นช่องว่าง-เป็นวิธีการที่มีประโยชน์อันหนึ่งในการเข้าใจเรื่องการวัดและเรื่องเศษส่วน เด็กสามารถเขียนจำนวนเลขมากในช่องและต่อด้วยจำนวนที่มากกว่า 10. ใช้นิ้วมือหรือวิชาพีชคณิต (2 คูณอะไรแล้วบวก 3 จึงจะได้7?). เขาสนับสนุนการสอนด้วยทัศนะคติที่คนถูกสอนควรค้นหาวิธีการแก้ปัญหาในแนวทางต่างๆโดยการลองผิดลองถูก

การคิดแบบเดิมๆเป็นการนำไปสู้ความคิดที่จำกัด นี่เป็นสาเหตุทำไมเราจึประสบความล้มเหลวเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ๆ ซึ่งอาจมีความคล้ายคลึงกับประสบการณ์ในอดีตเพียงผิวเผินเท่านั้น การทำความเข้าใจปัญหาหรือกำหนดโดยอิงกับประสบการณ์เดิมทำให้ผู้คิดหลงทางได้ การคิดแบบเดิมมักนำเราไปสู้ความคิดธรรมดาๆไม่ใช่ความคิดริเริ่มใหม่ๆ ถ้าท่านคิดแบบที่เคยคิด ท่านจะได้ผลเป็นสิ่งเดิมๆด้วยเป็นความคิดเก่าๆ

ในปี ค.ศ.1968, ประเทศ Swiss ซึ่งเน้นอุตสาหกรรมนาฬิกา คนสวิสนั่นเองที่คิดประดิษฐ์นาฬิกาอิเล็คโทนิกขึ้นที่สถาบัน Neuchatel, ในประเทศ Switzerland เป็นครั้งแรก แต่โดนปฏิเสธโดยทุกโรงานทำนาฬิกาของชาวสวิส โดยพื้นฐานทางประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรม เขาเชื่อว่ามันไม่สามารถจะเป็นนาฬิกาสำหรับอนาคตได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันต้องอาศัยพลังงานจากแบ็ตเตอรี่ ไม่มีเพลาเหวี่ยง สปริง และเฟืองหมุน บริษัท Seiko ในประเทศญี่ปุ่นยอมรับความคิดนี้ในขณะที่โรงงานสวิสปฏิเสธ นำไปแสดงในงานนาฬิกาโลกจนเป็นที่นิยมทั่วโลกในตลาดนาฬิกาปัจจุบัน เมื่อบริษัท Univac คิดค้นด้านคอมพิวเตอร์ เขาปฏิเสธที่จะพูดคุยกับนักธุระกิจที่พยายามสอบถาม เพราะเชื่อว่าคอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาเพื่อนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่มีผลในแง่ทางธุระกิจ ตามด้วย บริษัท IBM. ซึ่งเชื่อในประสบการณ์เดิมที่ว่าในตลาดคอมพิวเตอร์นั้นไม่มีโอกาสสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเลย จริงๆแล้วเขายังปักใจเชื่อไปอีกว่าจะมีคนเพียง ๕ หรือ ๖ คนเท่านั้นที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แล้วต่อมาก็บริษัท Apple. (ซึ่งเริ่มผลิตออกมาจนเป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน)

โดยนัยธรรมชาติ กลุ่มยีนที่ไม่มีความแตกต่างจะไม่สามารถพัฒนาต่อการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อถึงตอนนั้นการแปลงระหัสทางพันธุกรรมของความฉลาดก็จะถูกเปลี่ยนเป็นความโง่ ผลต่อเนื่องที่ตามมาคือเคราะห์กรรมของการคงอยู่แห่งมนุษยชาติ เราทุกคนมีความคิดต่างๆที่ถูกเก็บสะสมไว้ และแนวความคิดจากประสบการณ์ช่วยให้เราคงอยู่และรุ่งเรือง แต่เมื่อปราศจากการเพิ่มความคิดที่หลากหลายแล้ว ความคิดธรรมดาเดิมๆของเราก็จะกลายเป็นของเน่าเสีย เสียประโยชน์ไปในที่สุด เราก็จะเป็นผู้แพ้ในการแข่งขันของเรา

โปรดพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • ในปี 1899 Charles Duell, ผู้อำนวยการสำนักงานลิขสิทธ์ของ U.S.A. แนะนำว่ารัฐบาลควรปิดสำนักงานนี้ เพราะทุกสิ่งที่ถูกสรรสร้างแล้วควรถูกสรรสร้างขึ้นใหม่
  • ในปี 1923, Robert Millikan, นักฟิสิกซ์และเจ้าของรางวัลโนเบล บันทึกไว้ว่าไม่มีอะไรเด็ดขาดที่มนุษย์สามารถควบคุมอำนาจของอะตอม
  • Phillip Reiss, ชาวเยอรมันผู้หนึ่ง ได้สร้างเครื่องอุปกรณ์ที่สามารถส่งถ่ายเสียงเพลงได้ในปี 1861. หลายวันหลังจากการคิดสร้างระบบโทรศัพท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารในประเทศเยอรมันทุกคนแนะนำเขาว่าขณะนั้นไม่มีตลาดที่ดีพอสำหรับเครื่องโทรเลข ๑๕ ปีต่อมา Alexander Graham Bell สร้างเครื่องโทรศัพท์สำเร็จแล้วกลายเป็นเศรษฐีหลายร้อยล้านสำหรับลูกค้าชาวเยอรมันที่สนใจมากมาย
  • Chester Carlson คิดสร้างเครื่องถ่ายเอกสารได้ในปี 1938. บริษัทใหญ่เช่น IBM และKodak, ตำหนิความคิดของเขาจนหมดท่า พวกเขาอ้างว่าเพราะมีกระดาษคาร์บอนราคาถูกและมากมายใครจะมายอมซื้อใช้เครื่องถ่ายสำเนาราคาแพงเช่นนั้น
  • Fred Smith, ขณะที่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย Yale, เจ้าของความคิด Federal Express,บริการส่งของทั่วประเทศภายในเวลาข้ามคืน ทาง U.S. Postal Service, UPS, และบริษัทที่อาจารย์ของเขาเป็นเจ้าของ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญในบริการนี้ทั่วประเทศ U.S., ตัดสินความกล้าได้กล้าเสียของเขาว่า น่าจะเป็นความล้มเหลวด้วยอาศัยประสบการณ์ทางด้านอุตสาหกรรมที่เชื่อว่าไม่มี ใครยอมจ่ายค่าบริการแพงเพื่อความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือนี้

เมื่อ Charles Darwin กลับประเทศอังกฤษหลังการไปเยี่ยมหมู่เกาะ Galapagos เขาส่งซากสัตว์นกกระจอกเทศตัวหนึ่งให้ผู้เชี่ยวชาญทางสวนสัตว์พิจารณา หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญคือ John Gould. สิ่งที่เปิดเผยออกมาไม่ใช่สิ่งที่ Darwin สนใจแต่กลับเป็นสิ่งที่ตัว Gould เองสนใจต่างหาก

บันทึกของ Darwin ทำให้ Gould เข้าใจและสนใจเพียงแค่รายชื่อของพวกนกเท่านั้น เขาตรวจสอบจำนวนที่แตกต่างทางเผ่าพันธ์ของนกกระจอกเทศกลับไปกลับมา ซึ่งมีข้อมูลอยู่ในบันทึกนั้น แต่เขาไม่รู้ถึงอะไรอื่น เขาตั้งข้อสันนิษฐานเอาว่าพระเจ้าสร้างนกแต่ละชนิดในคราวสร้างโลก ดังนั้นซากของมันแม้ได้มาจากสถานที่ต่างกันก็ย่อมเหมือนกัน เขาจึงไม่สนใจความแตกต่างของสถานที่ Gould คิดว่านกที่แตกต่างกันเนื่องมาจากเผ่าพันธ์เท่านั้น

ข้อสังเกตุคือว่าสิ่งที่ที่พบนั้นมีผลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของบุคคลทั้งสอง Gould คิดตามในสิ่งที่เขาตั้งเงื่อนไขในการคิด เหมือนผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษีทั้งหลาย คือไม่ได้มองบันทึกในแง่ของวิวัฒนาการที่ถูกต้องมาก่อนที่จะเห็นพวกนกกระจอกเทศเหล่านั้น. Darwin เสียอีกที่ไม่รู้ว่าซากนั้นเป็นนกกระจอกเทศ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าบุคคลที่มีความฉลาดมีความรู้และความชำนาญมักมองไม่เห็นสิ่งที่ตนไม่เคยเห็น รวมทั้งบุคคลที่มีความรู้และความชำนาญน้อยกว่ากลับสร้างกรอบความคิดและแนวทางให้พวกเราคิดและเข้าใจโลกในขณะนี้

ข้าพเจ้าประทับใจต่อทฤษฎีวิวัฒนาการของ Darwin เสมอ เพราะการเลือกทางธรรมชาติกลายเป็นความฉงนต่อความพยายามทางวิชาการที่จะสะท้อนความคิดของเขาในแง่ความคิดสร้างสรรค์และอัฉริยภาพ ในมุมมองของข้าพเจ้าเกี่ยวกับอัฉริยภาพมีรากฐานความเข้าใจมาจากความแตกต่างที่มองไม่เห็นและการเลือกที่สั่งสมมาเดิมๆของ Donald Campbel ซึ่งเป็นแบบจำลองทางความคิดสร้างสรรค์ที่เขาพิมพ์เผยแพร่ในปี 1960. Campbell ไม่ใช่คนแรกที่เห็นความเกี่ยวข้องระหว่างความคิดของ Darwin เรื่องวิวัฒนาการกับความคิดสร้างสรรค์ เริ่มแรกในปี 1880 นักปรัชญาที่มีชื่อชาวอเมริกัน William James เขียนบทความเรื่อง "Great Men, Great Thoughts, and the Environment," อ้างความเกี่ยวข้องระหว่างความคิดของ Darwin กับอัฉริยภาพ ผลงานของ Campbell ได้ถูกนำมาอ้างถึงในงานวิชาการมากมายต่อมารวมทั้งงานของ Dean Keith Simonton และ Sarnoff Mednick.

จากผลงานเหล่านี้ นักวิชาการส่วนมากแนะนำว่า อัฉริยะภาพเกิดมาจากทฤษฎีวิวัฒนาการทางชีววิทยาของ Darwin ธรรมชาติเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์เป็นสำคัญ ธรรมชาติสร้างให้เกิดความเป็นไปได้ผ่านการลองผิดลองถูก แล้วปล่อยเลยให้เป็นขบวนการเลือกสรรทางธรรมชาติว่าเผ่าพันธ์ไหนจะคงมีอยู่ต่อไป ในธรรมชาติมีจำนวนถึง 95% ของเผ่าพันธ์ใหม่ๆที่ล้มเหลวและหมดสิ้นการวิวัฒนาการในช่วงเวลาสั้นๆ

อัฉริยภาพเปรียบได้กับวิวัฒนาการทางชีววิทยา ต้องการการแพร่ขยายที่ทำนายไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยทางเลือกและความเห็นที่หลากหลายต่างๆนานา บนทางเลือกและความเห็นเหล่านี้ การรักษาความคิดที่ดีที่สุดไว้อย่างชาญฉลาดจะช่วยการพัฒนาและการสื่อสารต่อๆไป ความคิดที่สำคัญของทฤษฎีนี้คือว่า ท่านต้องมีวิธีการในการสร้างความแตกต่างทางความคิดของท่าน ความแตกต่างที่มองไม่เห็นเกิดมาจากการสั่งสมความรู้ที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆไว้

อัฉริยบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์สร้างทางเลือกและความเห็นมากมายอย่างไร ? ทำไมหลายความคิดของเขาดีและแตกต่าง ? เขาสร้างความแตกต่างที่มองไม่เห็นไปสู่การริเริ่มและแปลกใหม่ได้อย่างไร ? นักวิชาการรุ่นใหม่ได้รับมรดกทางหลักฐานที่สามารถแยกแยะวิธีคิดของอัฉริยบุคคลได้ จากบันทึกส่วนตัว การโต้ตอบ การสนทนา และความคิดต่างๆของนักคิดที่ยิ่งใหญ่ของโลก สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนวิธีการคิดที่ไม่ธรรมดา เป็นรูปแบบการคิดที่ทำให้อัฉริยบุคคลสามารถสร้างความคิดริเริ่มและแปลกใหม่ที่อัศจรรย์ให้เกิดขึ้น


ยุทธวิธีต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นการอธิบายโดยสังเขปถึงยุทธวิธีทางการคิดและรูปแบบการคิดสร้างสรรค์ของอัจฉริยบุคคลทางสาขาวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และอุตสาหกรรมในอดีตที่ผ่านมา

อัจฉริยบุคคลมองปัญหาในแนวทางที่แตกต่าง

อัจฉริยบุคคลมักค้นพบในสิ่งที่ไม่มีใครอื่นพบมาก่อน Leonardo da Vinci เชื่อว่าความรู้เกิดมาจากปัญหาต่างๆ ท่านต้องเริ่มการเรียนรู้โดยการทบทวนหรือจัดโครงสร้างของปัญหาเหล่านั้นเสียใหม่ เรารู้สึกว่าการมองปัญหาครั้งแรกเกิดขึ้นโดยมีอคติมองตามความเคยชิน เขาจึงมักปรับเปลี่ยนปัญหาโดยมองในลักษณะอื่นที่ต่างจากเดิมเรื่อยๆไป ในแต่ละครั้งที่มองปัญหาต่างไป ก็จะค่อยๆเริ่มเข้าใจประเด็นของปัญหานั้นได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น ทฤษฎีทางสัมพันธภาพของ Einstein มีสาระคือการอธิบายความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันในแง่มุมทั้งหลายที่แตกต่างกัน วิธีการจิตวิเคราะห์ของ Freud ออกแบบมาเพื่อค้นหารายละเอียดที่ไม่อาจพบได้ด้วยวิธีการที่มีมาก่อนอันนำไปสู่แนวคิดใหม่ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ ผู้คิดต้องเลิกล้มความเกี่ยวข้องกับประสบการณ์เดิมและปรับแนวคิดในปัญหานั้นเสียใหม่ การไม่ยึดติดในมุมมองหนึ่งใดนั้น อัจฉริยบุคคลไม่เพียงแต่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนั้นเท่านั้น เขายังสร้างสถานการณ์แวดล้อมอื่นเป็นเครื่องสนับสนุนขึ้นอีกด้วย เขากำหนดสิ่งใหม่ต่างๆ ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์ความฝันทั้งหลายแหล่ แต่เสมือนเป็นอย่างที่ Freud มักถามเป็นเบื้องต้นเกี่ยวกับความฝันที่มีความหมายทั้งหลายที่อุบัติในจิตใจของเรา

อัจฉริยบุคคลทำความคิดของเขาให้ประจักษ์

การแพร่สะพัดของความคิดสร้างสรรค์ในยุค Renaissance มีบันทึกความรู้มากมายที่ทั้งภาษาเขียนและภาษาภาพ เช่นงานของ Da Vinci และ Galileo. ที่ให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่แสดงความคิดชัดเจนในรูปภาพของไดอะแกรม แผนที่ ภาพวาด ขณะที่คนในสมัยนั้นใช้เพียงภาษาคณิตศาสตร์และการอธิบายด้วยคำพูดเท่านั้น

คราวใดที่อัจฉริยบุคคลอาศัยคำพูดช่วยการอธิบายน้อยลง เขาจะพัฒนาความสามารถในเชิงทัศนวิสัยและความสามารถรอบตัวเพื่อเปิดเผยข้อมูลในวิธีการต่างๆ เมื่อ Einstein เผชิญปัญหาใด เขาจะจัดการในวิธีการต่างๆที่หลากหลายเท่าที่กระทำได้ รวมทั้งการทำภาพไดอะแกรม เขามีความคิดเป็นรูปทัศน์ เห็นภาพของปัญหาในหลายมิติ ไม่จำกัดที่ภาษาทางคณิตศาสตร์และการอธิบายด้วยคำพูดเท่านั้น แม้ว่าคำพูดและตัวเลขเป็นเรื่องสำคัญช่วยการเขียนและการพูด แต่มันก็ไม่เป็นสิ่งที่เลอเลิศเพียงอย่างเดียวในขบวนการคิดของเขาเสมอไป

หนึ่งในการพรรณาที่สมบูรณ์ในปรัชญาของ Einstein ที่พบในจดหมายถึงเพื่อนของเขา Maurice Solovine ในจดหมายนั้น Einstein อธิบายความยากในการใช้คำพูดเพื่ออธิบายปรัชญาวิทยาศาสตร์ของเขา เพราะกระทำได้เพียงคร่าวๆเท่านั้น ในจดหมายเริ่มด้วยภาพง่ายๆประกอบด้วย (1) เส้นตรงที่แทนอักษร E (experiences), ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา และ (2) A (axioms), หรือความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ ซึ่งวางไว้เหนือเส้นตรงนั้นคือไม่เชื่อมกันโดยตรงกับ E

Einstein Drawing

(หมายเหตุ: นี่เป็นประมาณการจากภาพต้นฉบับของ Einstein ในแหล่งเก็บเอกสารของเขาที่มหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งนครเจรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล)

Einstein อธิบายในแง่จิตวิทยาที่ A อยู่เหนือ E แต่ไม่เป็นนัยทางเหตุผลเชื่อมโยงจาก E ถึง A แค่เพียงการเชื่อมต่อเป็นนัยๆเท่านั้น สามารถลบล้างได้เสมอ จากความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์เหล่านี้ (A, axioms) สามารถพิจารณาลงความเห็นโดยหลักทั่วไปเพื่อไปสู่เรื่องเฉพาะได้ (S) การลงความเห็นนี้ถือสิทธ์เป็นความถูกต้องได้เลย สาระนี้ Einstein กล่าวว่ามันเป็นทฤษฎีที่กำหนดสิ่งที่เราสังเกต เขาแย้งว่าความคิดทางวิทยาศาตร์เป็นเพียงการคาดคะเนหรือเดาเอาเท่านั้น นอกจากผลลัพท์สุดท้ายที่นำไปสู่ระบบใดระบบหนึ่งที่บ่งชี้ถึงลักษณะของเหตุผลที่ง่ายๆ (logical simplicity) เพราะคำพูดไม่สามารถที่จะอธิบายให้เกิดความพอใจได้ Einstein จึงมักทำความคิดของเขาให้ปรากฏด้วยการเขียนภาพไดอะแกรมแสดงสาระและคุณลักษณะที่สำคัญในปรัชญาของเขา

ผลผลิตของอัจฉริยบุคคล

คุณลักษณะที่แตกต่างของอัจฉริยบุคคลคือผลผลิตที่มากมาย Thomas Edison มีสิทธบัตรของความคิดถึง1,093 ชิ้น เขารับรองสิ่งผลิตที่เป็นส่วนของตนเองและส่วนของผู้ช่วยของเขา ในส่วนของเขามีสิ่งคิดค้นเล็กๆในทุก 10 วัน และในสิ่งสำคัญๆในทุกหกเดือน Bach ประพันธ์เพลงได้ ทุกสัปดาห์แม้ขณะที่เขาป่วยและเหน็ดเหนื่อย Mozart ประพันธ์เพลงได้ถึง 600 เพลง Einstein มีชื่อจากบทความเรื่องสัมพันธภาพ แต่มีบทความอื่นที่ตีพิมพ์ถึง 248 เรื่อง T.S. Elliot มีจำนวนร่างของบทประพันธ์ "The Waste Land" ทั้งที่ปนเปดีบ้างไม่ดีบ้างมากมายก่อนกลายเป็นผลงานที่เป็นเลิศ ในการศึกษานักวิทยาศาสตร์จำนวน 2,036 คนในประวัติศาสตร์ คณบดี Kean Simonton มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งเดวิส พบว่าส่วนมากไม่เพียงแต่คิดค้นงานสำคัญ แต่ก็ยังมีงานห่วยๆอีกมากด้วย จากผลงานที่มีปริมาณนำไปสู่ผลงานที่มีคุณภาพของอัจฉริยบุคคลในที่สุด

อัจฉริยบุคคลสร้างการผสมผสานที่แปลกใหม่

คณบดี Keith Simonton เขียนหนังสือเรื่องของอัจฉริยบุคคลทางวิทยาศาสตร์ในปี 1989 แนะนำว่าความเป็นอัจฉริยะเกิดขึ้นเพราะเขาเหล่านั้นมีความสามารถสรรสร้างการ ผสมผสานที่แปลกใหม่เหนือความปราดเปรื่องอื่นใด ทฤษฎีของเขาเกี่ยวข้องทางนิรุกติศาสตร์ เช่นคำว่า cogito--"ข้าพเจ้าคิดว่า-มีความหมายเริ่มแรกคือเขย่าเข้าด้วยกัน "shake together": intelligo เป็นรากศัพท์ของ "intelligence" หมายถึงเลือกเอามา "select among." นี่เป็นเป็นลางสังหรณ์แรกเกี่ยวกับประโยชน์ของการยอมรับความคิดที่สุ่มเอามา จากความคิดต่างๆและประโยชน์ที่ได้รับจากการเลือกสรรมาจากสิ่งที่เคยสะสมไว้ ก่อน เหมือนเด็กเล่นการต่อรวมของชิ้น Legos อัจฉริยบุคคลมักเอาความนึกคิด จินตภาพ และความคิดต่างๆมารวมกันหรือจัดรวมกันเสียใหม่ทั้งด้วยความมีสำนึกและไร้ สำนึกในจิตใจ ลองพิจารณาสมการของ Einstein, E=mc2. Einstein ไม่ได้สร้างแนวความคิดใหม่ๆของ พลังงาน มวล และความเร็วของแสง หากแต่เป็นการรวมแนวความคิดเดิมๆของสิ่งเหล่านี้ในวิธีใหม่ เขามองเห็นเช่นเดียวกันกับคนอื่นแต่มีบางสิ่งที่แตกต่างกันเท่านั้น กฎทางกรรมพันธ์ ที่นักพันธุกรรมสมัยใหม่กำหนดนั้นก็มีรากฐานมาจากกฎเดิมของ Gregor Mendel แต่หากเขาผสมผสานวิชาคณิตศาสตร์และชีววิทยาเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นวิทยา ศาสตร์ในแนวทางใหม่ขึ้น

อัจฉริยบุคคลเน้นความสัมพันธ์กันและกัน

หากมีรูปแบบพิเศษสำหรับความคิดของอัจฉริยบุคคล มันคือความสามารถที่สร้างความเคียงกันของสิ่งที่แตกต่างกันได้ เรียกได้ว่าเป็นความสะดวกในการเชื่อมโยงในสิ่งที่ไม่เคยถูกโยงกันมาก่อน ทำให้เห็นในสิ่งที่ไม่มีใครเห็นมาก่อน Leonardo da Vinci เน้นความสัมพันธ์กันระหว่างเสียงของระฆังกับเสียงหินกระทบน้ำ การกระทำดังนี้ทำให้เขาค้นพบเสียงเดินทางเป็นคลื่นต่างๆ ในปี1865 F.A. Kekule พบรูปร่างของโมเลกุลเบ็นซิลโยงกันเป็นเหมือนรูปงูกินหางโดยบังเอิญ Samuel Morse งงอยู่เป็นนานในความพยายามที่จะค้นหาสัญญาน โทรเลขที่แรงพอจะรับได้ระหว่างคาบฝั่งมหาสมุทรหนึ่งๆ วันหนึ่งเขาเห็นม้าเทียมรถถูกสัปเปลี่ยนระหว่างสถานีทำให้ได้ความคิดเช่นการส่งของสัญญานโทรเลขให้มีกำลังแรงขึ้นได้สำเร็จ คำตอบคือให้สัญญานชนิดสืบทอดกัน เดินทางเป็นช่วงๆสลับการเร่งเพิ่มกำลังของสัญญานนั้นๆ Nickla Tesla เน้นการเชื่อมโยงกันระหว่างการหมุนเวียนขึ้นตกของดวงอาทิตย์และเครื่องยนต์ที่เป็นชนิด AC โดยใช้สนามแม่เหล็กเป็นตัวสร้างการหมุนแบบต่อเนื่องเหมือนการขึ้นตกของดวงอาทิตย์

อัจฉริยบุคคลคิดตรงข้าม

นักฟิสิกซ์และนักปรัชญา David Bohm เชื่อว่าอัจฉริยบุคคลสามารถคิดได้แตกต่างมากมาย เพราะเขาอดทนต่อสิ่งที่รุมล้อมระหว่างข้อขัดแย้งและเรื่องราวที่ไม่ลงรอยกันได้ Dr. Albert Rothenberg นักค้นคว้าทางกระบวนการคิดสร้างสรรค์ผู้หนึ่ง กำหนดความสามารถนี้เป็นคุณสมบัติหนึ่งของอัจฉริยบุคคลเช่น Einstein, Mozart, Edison, Pasteur, Joseph Conrad, และ Picasso ในหนังสือของเขาชื่อ The Emerging Goddess: The Creative Process in Art, Science and Other Fields เขียนในปี 1990. นักฟิสิกซ์ Niels Bohr เชื่อว่าถ้าท่านยึดเอาสิ่งที่ขัดแย้งมารวมกันไว้ได้ จะช่วยให้ท่านชลอความคิดและจิตใจเดิมๆให้เคลื่อนจากไปสู่รูปแบบใหม่ต่อไปได้ การเอาความขัดแย้งหรือสิ่งตรงกันข้ามมาปั่นรวมกันจะสร้างเงื่อนไขสำหรับมุมมองใหม่และปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระขึ้น ความสามารถในการจินตนาการของ Bohr ในเรื่องแสงสว่างที่ประกอบด้วยอนุภาคเล็กและคลื่นแสงนำไปสู่หลักของการประกอบกันเป็นองค์สมบูรณ์ ( the principle of complementarity) ของเขา. Thomas Edison สร้างระบบไฟฟ้าแสงสว่างในแง่ปฏิบัติ โดยการรวมระบบสายไปแบบวงจรขนาน กับความต้านทานสูงของใส้ในหลอดไฟฟ้าของเขา สิ่งทั้งสองอย่างนี้ไม่เคยมีการพิจารณามาก่อน เพราะในข้อเท็จเดิมที่เข้ากันไม่ได้เลย แต่ทว่า Edison กลับสามารถทนต่อกระแสความขัดแย้งของสองสิ่งนี้ได้ จึงทำให้เขาสามารถค้นพบความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์ในที่สุด

อัจฉริยบุคคลมักคิดเชิงอุปมา

Aristotle พิจารณาการอุปมาเป็นสิ่งบอกหนึ่งของอัจฉริยบุคคล เชื่อว่าคนที่สามารถรับรู้ระหว่างสองสิ่งที่แตกต่างกันแล้วนำมาผสมผสานกันได้น่าจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างหนึ่ง ในสิ่งที่ไม่เหมือนกันแท้จริงแล้วมักมีอะไรเหมือนกันในบางอย่างเสมอ Alexander Graham Bell สังเกตุการเปรียบเทียบกันระหว่างกลไกการทำงานภายในหู กับ การเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนเแผ่นผืนที่แข็งแรงสามารถเคลื่อนเหล็กได้นำไปสู่ความคิดของเครื่องโทรศัพท์ Thomas Edison สร้างเครื่องหีบเสียงได้ในวันหนึ่งหลังจากการอุปมาอุปมัยระหว่าง กรวยของเล่นเด็ก กับ การเคลื่อนไหวของคนกระดาษและการสั่นเสทือนของเสียง โครงสร้างใต้น้ำคิดค้นจากการสังเกตุการสร้างท่อต่อเนื่องกันเป็นอุโมงค์ยาวในไม้ของหนอนทะเล Einstein ได้รับการอธิบายหลักการแง่นามธรรมต่างๆของเขา จากการวาดภาพเชิงเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นประจำวัน เช่น การพายเรือ หรือการยืนบนชานชลาขณะที่รถไฟแล่ยผ่านเลยไป

อัจฉริยบุคคลเตรียมตัวเองสำหรับโอกาส

เมื่อไรก็ตามที่เราพยายามทำสิ่งใดแล้วล้มเหลว เราจะเลี่ยงไปทำอย่างอื่น อาจกล่าวได้ว่าหลักการแรกของความคิดสร้างสรรค์คือความบังเอิญ เราอาจถามตัวเองว่าทำไมความล้มเหลวเกิดขึ้นในสิ่งที่เราตั้งใจทำ นี่เป็นเหตุผลต่อสิ่งที่คาดหวัง แต่ความบังเอิญที่สร้างสรรค์กระตุ้นให้เกิดคำถามที่แตกต่าง เช่น เราได้ทำอะไรไปแล้ว ? จงตอบคำถามนี้ใหม่ ในแนวทางที่ไม่ได้นึกถึงมาก่อนจะให้ประโยชน์ในการกระทำที่สร้างสรรค์ได้ มันไม่ใช่เพราะโชค แต่จากการที่อุบัติขึ้นมาอย่างสร้างสรรค์และมีระเบียบสูงส่ง Alexander Fleming ไม่ใช่นักฟิสิกซ์คนแรกที่สังเกตุเห็นการขึ้นรากลายเป็นรูปแบบการเพาะเลี้ยงจากการศึกษาแบ๊คทีเรียที่ตายแล้ว นักฟิสิกซ์ธรรมดาทั่วไปมักละเลยความสัมพันธ์นี้ไป ในขณะที่ Fleming เห็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และประหลาดใจต่อความเป็นไปได้นี้ การสังเกตุเห็น "ความน่าสนใจ" นี้นำไปสู่การคิดค้นยาเพนนิซิลินที่ช่วยเหลือคนนับล้าน Thomas Edison ขณะนึกถึงการทำเส้นใยคาร์บอน เขาปล่อยใจกับการบีบชิ้นดินน้ำมันของเล่นไปมาบนนิ้วมือ เมื่อก้มลงมองมาที่มือคำตอบเกิดขึ้นทันทีในสายตาคือการบิดเกลียวของใยคาร์บอนเหมือนเส้นเชือก. B.F. Skinner เน้นหลัการเบื้องต้นของวิธีการวิทยาศาสตร์คือ เมื่อท่านพบบางสิ่งที่น่าสนใจ ให้หยุดสิ่งอื่นๆเสียแล้วมาใส่ใจกับสิ่งนั้นแทน หลายสิ่งปิดกั้นโอกาศที่จะได้คำตอบในขณะที่เขาเลิกล้มความคิดเดิมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า อัจฉริยบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ไม่รอคอยสิ่งที่ต้องการตามโอกาส แต่เขาจะแสวงหาการค้นพบโดยความบังเอิญ


บทสรุป

การระลึกถึงยุทธวิธีการคิดทั่วไปของอัจฉริยบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ แล้วนำมาประยุกต์กับตัวท่านจะช่วยทำให้งานและชีวิตของท่านมีการสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น เขาเหล่านั้นมีความเป็นอัจฉริยะก็เพราะเขารู้ว่าจะคิดอย่างไร แทนการคิดอะไร ในปี 1977 นักสังคมวิทยา Harriet Zuckerman พิมพ์เผยแพร่งานศึกษาของเขาเกี่ยวข้องกับผู้เคยได้รับรางวัลโนเบล และอยู่อาศัยในประเทศสหรัฐอเมริกา หล่อนพบว่าศิษย์จำนวนถึง ๖ คนของ Enrico Fermi เป็นผู้ได้รับรางวัลนี้ Ernst Lawrence และ Niels Bohr แต่ละคนมีศิษย์จำนวน ๔ คน. J.J. Thompson และ Ernest Rutherford เป็นสองคนในจำนวนนั้น และยังเคยฝึกผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้ถึง ๑๗ คน นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ มันเห็นได้ชัดว่าผู้เคยได้รับรางวัลโนเบลเหล่านี้ ไม่แค่เป็นผู้มีความสามารถด้วยตนเองเท่านั้น แต่ยังสอนผู้อื่นถึงการคิดอย่างสร้างสรรค์ได้อีกด้วย กลุ่มตัวอย่างของ Zuckerman พิสูจน์ให้เห็นว่า อิทธิพลทางความคิดสร้างสรรค์ได้มาจากครูผู้สอนให้เขาคิดในรูปแบบและยุทธวิธีที่แตกต่างหรือการคิดอย่างไรมากกว่าการคิดอะไร


This page is Copyright (C) 1998 Michael Michalko
Last updated: 15th March 1998

วันศุกร์, กันยายน 19, 2551

Cyborg She OST Hi-Fi CAMP / キズナ




ไปดูมาครับ จินตนาการล้ำลึกดี เลยมาเผยแพร่ต่อ

ไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย ได้ยินมาแต่ว่านางเอกยิ้มน่ารัก

ซึ่งก็ดีแล้วที่ไม่รู้อะไรก่อนไปดู เพราะมันหักมุมไปมา น่าสนใจครับ ถ้ารู้เนื้อเรื่องก่อนคงดูไม่สนุกนะเนี่ย เหอๆ


http://www.thaipr.net/nc/readnews.aspx?newsid=1F1E64E3A52C342918F6B1BC83FA9543

ที่มา
สหมงคลฟิล์ม

ไม่ เพียงแต่จะมีเนื้อหาน่ารัก น่าหยิก โดนใจเท่านั้น ภาพยนตร์ “Cyborg she : ยัยนี่...น่ารักจัง” ยังส่งเพลงประกอบจังหวะสนุก ให้อารมณ์ความรู้สึกของรักครั้งแรก ที่มีเรื่องราวให้ลุ้น แค่นึกถึงก็ยิ้มได้ และชวนให้ฝันหวานไปทั้งวัน กับเพลง “KIZUNA” ( แปลเป็นไทยได้ว่า “ความสัมพันธ์” ) มาเอาใจคอหนังกันก่อน ซึ่งเพลง KIZUNA นี้ เป็นเพลงของ 4 หนุ่ม J-POP วง Hi – Fi Camp แต่ผู้กำกับ “กว๊ากแจยัง” ฟังเพลงนี้แล้ว ติดอกติดใจ ถึงกับทาบทามขอใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Cyborg she : ยัยนี่...น่ารักจัง” เขากล่าวว่า พอฟังเพลงนี้จบแล้วรู้สึกมีความสุข มีความรู้สึกตัวลอย เลยอยากให้เพลงที่เต็มไปด้วยความสุขนี้ อยู่ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา เพราะเขาคาดว่า Cyborg she ก็จะสร้างความสุชให้กับผู้ชมเช่นเดียวกัน เพราะมันเป็นหนังรัก ใสๆ แต่ไม่กลวง เนื้อหาจะเชื่อในเรื่องของ “ความรัก” เป็นหนังที่แม้แต่คนอกหักดูจบแล้ว ก็จะมีความสุขขึ้น
“Cyborg she : ยัยนี่...น่ารักจัง” เล่าเรื่องราวของความรักแปลกประหลาดที่เกิดระหว่าง หนุ่มซื่อ จิตใจดี กับ หุ่นยนต์สาว ยิ้มสวย สุดน่ารัก แต่ใครจะรู้ที่มาที่ไป ของ หุ่นยนต์สาวนี้ ว่ามีความลับสุดเซอร์ไพรส์ซ่อนอยู่ และที่สำคัญ กับคำถามที่ว่า “ความรัก...จะเกิดขึ้นได้เฉพาะกับมนุษย์ ที่มีหัวใจเท่านั้นหรือ” จะค้นพบคำตอบนี้ได้ จาก การแสดงสุดประทับใจของ ฮารุกะ อายาเสะ หุ่นยนตร์สาว นางเอกของเรื่อง พร้อมกับซึมซับหัวใจแห่งความดีงาม ของพระเอกหน้าซื่อ แต่ ใจใส เคอิสึเกะ โคอิเดะ สำหรับ “กว๊ากแจยัง” ผู้กำกับ “Cyborg she : ยัยนี่...น่ารักจัง” มีแฟนๆที่ติดตามผลงานเขาอยู่มากมาย เพราะภาพยนตร์เรื่องก่อนๆของเขา ถูกจัดอยู่ในอันดับหนังในดวงใจของใครหลายคน อย่างเช่น My sassy girl , The classic หรือ Windstruck เป็นต้น แฟนหนังของ “กว๊ากแจยัง” จากหลายๆประเทศ ต่างโพสต์ข้อความลงในบล็อกของตัวเองว่า อดใจรอที่จะดูเรื่องนี้ไม่ไหวแล้ว อยากจะดูตอนนี้ วันนี้ และเดี๋ยวนี้เลย สำหรับแฟนๆชาวไทย ไม่ต้องเป็นห่วง เตรียมนับถอยหลังได้ เพราะภาพยนตร์แห่งความรักที่น่าประทับใจ เตรียมเข้าฉายในประเทศไทยแล้ว 18 กันยายน นี้
ปล่อยหัวใจให้โลดเต้น กับความน่ารัก จาก “ยัยนี่...น่ารักจัง”
18 กันยายน นี้ ทุกโรงภาพยนตร์

วันจันทร์, กันยายน 15, 2551

PICFONT - Add text to picture

http://picfont.com/
from this



กู้ไฟล์รูปจากการ์ด ที่โดนซ่อนจากไวรัส โดยไม่ใช้โปรแกรม

เริ่มจากเพื่อนขอความช่วยเหลือมา บอกว่าถ่ายรูปมา เปิดในกล้องดูได้

แต่เอาการ์ดเสียบเข้าคอม มองไม่เห็นรูป

เห็นแค่โฟลเดอร์เปล่าๆ ๒ โฟลเดอร์ ชื่อ misc และ private๑

ลองให้เช็คดูขนาดการ์ด พบว่ายังพื้นที่ที่ใช้เก็บรูปอยู่

สันนิฐานแรก   เจ้า misc และ private๑  ต้องเป็นไวรัสแน่เลย
ลองหาข้อมูลดูไม่ใช่แฮะ  ปรากฏว่ามันเป็น โฟลเดอร์พื้นฐานของกล้องตระกูลพานาโซนิคเค้า

ลองสั่งให้เปลี่ยนค่า วิว เปนแบบไม่ซ่อนไฟล์ทั้งหมด  เครื่องไม่ยอมเปลี่ยนให้อีกแฮะ (ไวรัสเก่ง)  ยังมองไม่เป็นเหมือนเดิม

สุดท้าย หักดิบครับ  ใช้ความรู้ดอสพื้นฐาน

ให้ลองพิมพ์   ไดร์  I:\DCIM\   โป๊ะเชะ  เข้าได้เฉยเลย

เลยให้เพื่อนรีบ ก้อบรูปที่เห็นลงคอม  แล้วถอดการ์ดไปสั่งฟอร์แมตจากในกล้องต่อไป





ข้อมูลเพิ่มเติม 
ไวรัสที่เพื่อนบอกชื่อมาคือ TR/Crypt.XPACK.GEN
แสกนไวรัสที่เครื่องเพื่อนคือ AVIRA  หาไวรัสเจอ แต่ลบไม่ได้ access deny




วันอาทิตย์, กันยายน 14, 2551

เดือนของหมา

สองสามวันมานี้  เห็นหมาหนุ่มวิ่งไล่ตอมหมาสาว ข้ามถนนกันแบบไม่เกรงใจรถราเลยแฮะ

บ้างก็จับคู่ผสมพันธ์กันริมแยกไฟแดง ให้มนุษย์ปุถุชน ได้จับตามอง

น้องปอเช่ หมาเด็กที่บ้าน สงสัยจะโตเป็นหนุ่มแล้ว แม้ ตัวจะสูงประมาณแค่๑คืบกว่าๆก็ตาม

เย็นนี้ เล่นกับมันสักพัก  มันคงมันส์เขี้ยวได้ที่  พยายามจะเล่นงาน ขาเราซะงั้น  เฮ้ออออออ  

วันศุกร์, กันยายน 12, 2551

ขั้วโลกกำลังจะหมดไป (คนไทยก็ทะเลาะกันต่อไป)

ข่าว ที่น่าสนใจ ที่ได้ยินมาเมื่อสองสามวันก่อนคือ น้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ที่สะสมมากว่าแสนปีตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง กำลังละลายถึงขนาดที่ว่า เรือเดินสมุทรจะแล่นผ่านขั้วโลกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์


รูปจาก http://nsidc.org/arcticseaicenews/
































http://irascibleprofessor.com/comments-04-22-07.htm




อ่านไทย OCR

http://arnthai.nectec.or.th/UploadSend.asp
ก็ลองกันดูได้ครับ

แปลงรูปภาพ เป็นตัวอักษร ออนไลน์

แต่บางทีพิมพ์ใหม่ อาจเร็วกว่ามานั่งแก้คำผิด ; )

Css ปลดป้าย The "P"

อาจมีบางคน เป็นพรีเมี่ยม แล้วไม่ชอบที่มีตัวพีขึ้นมา เอาออกก็ไม่ได้
อาจมีบางคน ชอบความเท่าเทียมทางสังคม
อางมีบางคน ซนเล่นไปงั้น

งั้นเรามาซน ปลดป้ายกันเถอะ อิอิ

เพียงเติมโค้ดนี้ลงในcss ครับ เดอะพีที่ติดมากับเฮดชอตหน้าคอมเม้น  ก็จะหายไปจากเวปเราตลอดไป
(มล.ใช้ได้แต่ในมตพ.เรานะ นอกมตพ.เรา อำนาจเวทย์ครอบคลุมไปไม่ถึง หุหุ)

.userboxlogo img {
visibility: hidden;
}

.userboxlogo a img {
visibility: visible;
}



อ้างจาก
http://multiplydesign.multiply.com/notes/item/1321
http://multiplydesign.multiply.com/photos/album/73

วันพฤหัสบดี, กันยายน 11, 2551

css ทำให้โลโก้คนมาเม้น ดูมีชีวิตชีวา

ดูไม่เหงา   รึอีกนัยหนึ่ง  ดูรกตาเพิ่มขึ้น เอิ้ก

เริ่มจาก เพื่อนส่ง http://commentgraphics.multiply.com/photos/album/289/WEDNESDAY#37 มาให้ดู

พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่า  ดูตรงคอมเม้นดิ  น่ารักดี


ขั้นต่อมาผมก็ ถอดรหัสโค้ดครับ

ได้โค้ดดังต่อไปนี้



.userboxlogo a img
{
background-color: transparent;
background-image: url(http://i201.photobucket.com/albums/aa314/amanduhroxsu/peachflower4.gif);
background-repeat: no-repeat;
background-position: center bottom;
padding-bottom: 60px;
}
 


ใส่โค้ดนี้ ใน css 

ส่วนรูปใครอยากได้รูปไหนก็เปลี่ยนแปลงรูปได้ครับ

วันจันทร์, กันยายน 01, 2551

ไปซื้อ UPS

UPS ย่อมาจากคำว่า  uninterruptible power supply แปลเป็นไทยว่า เครื่องสำรองไฟ

วันก่อน อันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2003 เสีย  เลยลองแงะๆมาดูเผื่อกู้ได้ ปรากฏว่าทำขั้วสายไฟหักขาดคามือเลย  คราวนี้เสียถาวร T - T

จึ่งได้โอกาสไปเดินห้าง หาซื้อ UPS

ไปที่แรก LOTUS คนขาย ชี้ไปในซอกๆบอกอยู่ในโน้น เดินวนๆมองหาด้วยตาถั่วหาไม่เจอ  ให้หลานไปถามอีกครั้ง  คนขายชี้มาที่เดิม อยู่ในโน้น  วนๆหาอีกที เจอจนได้ สองตัววางอยู่ล่างๆหลบมุม สภาพใหม่ แต่ฝุ่นจับ มีสองตัว ตัวเลือกน้อย ไม่มีรายละเอียดมากนัก  และไม่มีใครให้ถาม  ป่อย  ไปที่อื่นดีกว่า

ไปที่สอง Powerbuy ในส่วน Central คนขายเยอะมาก คนแรกมองหน้าคนสอง คนสองบอกให้คนสามพาไปหา เดินเลยไปจนสุดแนว จึงถามคนที่สี่พาย้อนกลับมาที่แถวอีก เจอวางเรียงกันอยู่6ตัวเลยทีนี้ จับพลิกๆดูมีสนิมเล็กน้อย ถามว่าประกันกี่ปี คนที่สี่หายไป คนที่ห้าเข้ามาเสียบตอบคำถามด้วยการพลิกๆดูป้ายให้ ป้ายมีรายละเอียดไม่ครบ ถามว่าเสียส่งซ่อมที่ไหน คนขายอึ้งๆ  แป่ว  เดินต่อไปดีกว่า

ไปที่สาม เลี้ยวออกมาส่วน พลาซ่า เข้า IT CITY  เข้าไปเห็นวางๆเรียงอยู่ เจอคนขายถามสนใจตัวไหนครับ  คุยกันไปมา คนขายรู้เรื่องหมด กี่โวล กี่วัตต์ ใช้ต่อกี่คอม ประกันส่งที่ไหน ซ่อมที่ไหนได้ แบต เปลี่ยนยังไง แต่ละเครื่องต่างกันยังไง  

และสุดท้าย ผมถามตัวไหนเหมาะกับผมที่สุด  คนขายก็ถามว่าใช้คอมอะไร จอกี่นิ้ว โมดิฟายรึป่าว 

อืม สุดท้าย เอาตัวนี้แหละ จบการขาย อารมณ์ดียังเดินไปดุอย่างอื่นอีกเผื่อจะผลาญเงินต่อไป

ปกติแล้วผมชอบเดินดูของเงียบๆ พิจารณาแล้วซื้อเงียบๆ แต่คราวนี้คนขายมีอิทธิพลมากพอดูทีเดียว

คนขายเยอะไป ไม่รู้ลึก ฝากกันไปมา   กับคนขายคนเดียวตอบได้แบบเปะๆมั่นใจ  มันสร้างความน่าซื้อได้มากทีเดียว 

อีเมล์ ลับ ลวง พราง

ไม่ได้่พูดถึงหนังสือเล่มนั้นหรอกครับ


แต่อยากจะรวบรวมเมล์หลอกลวงมาไว้ด้วยกัน  เพราะรับมาบ่อยๆ  (เกินไปละ เผื่อใครอ่านเจอ แล้วได้รับจะได้ไม่ส่งต่อ)


เรื่องแรกเลยละกัน

ประมาณว่า เนื้อหาอะไรสักอย่าง บลา บลา บลา.............. แล้วลงท้ายว่า   ลองส่งเมลล์นี้ไปอย่างน้อย 10 คน แล้วกด ALT-8  จะพบสิ่งที่คาดไม่ถึง  ่ .......   สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ คุณได้ส่งเมล์ลูกโซ่ต่อไป อีก 10 เมล์แล้ว นั่นเอง หุหุ


เรื่องต่อไป  เรื่องนี้คลาสสิคมาก  พระจันทร์สองดวง ในเดือนสิงหาคม  อันเนื่องมาจาก ดาวอังคารใกล้โลก
อยากดูพระจันทร์สองดวงให้ดูเงาสะท้อนในน้ำครับ  อย่ารอดูดาวอังคารเลยหุหุ

เรื่องล่าสุด  ประเทศไทยเปลี่ยนเวลา เร็วขึ้น ครึ่งชม 23 สิงหาคม 2551   อันนี้มันเลยมาละ  แต่ปีหน้าไม่แน่ มันอาจวนมาใหม่

เรื่องอื่นๆ รอเจอก่อนแล้วจะมาเติมนะ  ใครเจอเรื่องไหนมาเติมได้เลยครับ