วันศุกร์, มิถุนายน 29, 2550

Group ก็มี guestbook ได้นะ

โดยปกติ มตพ ของบุคคลจะมีเกสบุคให้ทุกท่านคงทราบ  แต่พอเป็นกลุ่ม เกสบุคกลับไม่มีให้ใช้ แปลกไหมละ 

ผมก็เลยลองแกะรอยดูว่าแล้วเกสบุคของบุคคลนี่มันเป็นยังไง  ก็ค้นพบว่า มันแค่เติมคำว่า guestbook ลงไปหลัง มตพ เองนี่นา  ก็เลยลองจับมาทดลองทำดูกลับ สวัสดีมัลติพลาย ซะเลย

ก็แค่เติมลิงค์นี้ลงไป  http://sawasdeemultiply.multiply.com/guestbook ก็เรียบร้อย  ก็ได้ผลครับถ้าตามเข้าไปในลิ้งค์ข้างต้นก็เข้าไปในเกสบุคสวัสดีได้

และพอลองเขียนอะไรลงไป  มันก็จะแสดงว่ามีข้อความถูกเขียน (รู้สึกจะแสดงแค่ครั้งแรก)
แต่....   พอกดลิ้งค์เข้ามาแล้ว คือลิงค์นี้  http://sawasdeemultiply.multiply.com/?mark_read=sawasdeemultiply:guestbook:1&replies_read=4

ลิงค์มันจะพาไปที่หน้าแรกของสวัสดี ซึ่งที่นั่นเราจะไม่พบอะไร  เพราะ มตพ ไม่ยอมให้มีเกสบุคของกลุ่มปรากฏที่หน้าแรก


คนก็จะหาทางเข้าไม่เจอ  ซึ่งก็มวิธีแก้ี 3 วิธี คือ

1.ทำลิงค์ไว้ http://sawasdeemultiply.multiply.com/guestbook หน้าแรกเลย

2.ใช้วิธีแทรกเวป http://bombcreate.multiply.com/reviews/item/8 + http://diew.multiply.com/journal/item/15 
เหมือนที่ผมใส่ไว้ใน reply ที่หน้าแรก  พอคนเข้ามาก็จะเห็นช่องให้เขียนเกสบุคได้

และ 3.ยังนึกม่ายออก อิอิ


ก็ลองๆดูนะครับ  รู้สึกว่า มตพ ไม่ซัพพอตให้ทำเท่าไรนัก หุหุ

เราเองก็มีืื notes ใช้นะ

ปกติแล้วในมัลติพลาย  เวลาจะส่งข้อความ

ส่วนบุคคล จะใช้คำสั่ง PM  personnel message
ส่วนของกลุ่ม จะใช้ notes

แต่ในส่วนของบุคคลเองก็สามารถใช้คำสั่ง notes ได้ครับ

วิธีใช้คือเข้าไปที่ลิ้งค์  http://your_name.multiply.com/notes/compose

ก็จะสามารถส่งโน๊ตได้แล้ว
ปกติ มตพ จะไม่มีลิงค์นี้ไว้ให้  แต่ก็สามารถแปะสิงค์ไว้ใช้ส่วนตัวในหน้าเวลคัมได้ครับ



อ้างจาก(http://modify.multiply.com/notes/item/1063ิ)

วันจันทร์, มิถุนายน 25, 2550

Promote Your group (for admin)

อันเนื่องมาจาก บล้อคนี้ http://sawasdeemultiply.multiply.com/notes/item/137 
สอน Promote Your Site 

ทีนี้ผมก็เลยลองไปทำดูกะ
group (อิอิมีกรุ๊ปเปนของตัวเองด้วย) ปรากฏว่ามันม่ายมีลิ้งค์ promote ขึ้นมาให้แฮะ

ทีนี้ทำไงดีละ
อิอิ  ก็ทำมันซื่อๆแบบนี้แหละ แทนค่าครับ

เริ่มจาก   admin ของ group

1.เข้าลิ้งค์ group ที่จะโปรโหมด ตามนี้ฮับ เช่น http://ชื่อกรุ๊ป.multiply.com/promote
แค่นี้ก็สามารถทำโปรโมทย์ลิงค์กรุ๊ป ได้แย้ว อิอิ

แต่ ช้าาาก่อน ถ้านำเพียงแค่นี้ไปใช้   พอคนมาชมลิงค์แล้วกดลิ้งค์เข้ามา  มันจะเข้ามาที่ site ของเราแทนที่จะไปที่ group เป้าหมาย

ดังนั้นต้องทำข้อสองครับ

ข้อ2. ให้ไปแทนค่า user_id    ในtagที่จะเอาไปโปรโมท ครับ   ในกรณีของผม  user_id=notbirth   ก็ต้องแทนค่าเป็น ชื่อกรุ๊ปแทน

เพียงสองข้อก็เรียบร้อยครับ

มล. ยังงี้ไม่รู้ว่า ถ้าลองก็เข้าไปทำ promote ให้ใครก็ได้ ทั้งบุคคลหรือว่ากลุ่ม
จะได้ไหม

วันเสาร์, มิถุนายน 23, 2550

hugin - Panorama photo stitcher


http://hugin.sourceforge.net/
โปรแกรมต่อภาพ อีกตัวหนึ่ง

ใช้คำว่าอีกตัวหนึ่ง เพราะปกติผมใช้ิตัวนี้ autostitch http://notbirth.multiply.com/reviews/item/4 ทำทุกอย่างออโต้ สบายแฮ

แต่ตัวที่แนะนำวันนี้ รู้สึกว่าจะไม่ออโต้ครับ เผื่อจะอยากควบคุมอะไรให้มากขึ้น
ก็ลองกันดู

under & over software โปรแกรมผสมแสง

under + over software อิอิ ผมเรียกของผมแบบนี้แหละ โปรแกรมผสมแสงของภาพถ่าย




เคยไหมครับที่บางสถานการณ์ รูปที่ถ่าย

ถ้ารับแสงมากไปก้อขาวโพลนทั้งภาพ แต่ก็ต้องการให้ บางส่วนของภาพ มันสว่างนิ ไม่งั้นมองไม่เห็น
ถ้ารับแสงน้อยไปก้อมืดมิดทั้งภาพ แต่ก้อต้องการให้บางส่วนของภาพมันลดความจ้าลงนี่นา ไม่งั้นขาวไปหมด

ภาษาในทางกล้องเค้าเรียกว่า High Dynamic range คงแปลว่าภาพที่มีความต่างแสงสูง

ดังนั้น นอกจากจะต้องวัดแสงได้เจ๋ง วัดได้พอดีแล้ว
ก็เลยมีคนคิดตัวช่วยขึ้นมาอีกครับ ด้วยการผสมรูปสอง(มากกว่าสองก็ได้)รูปเข้าด้วยกัน เพื่อดึงแสงในแต่ละรูปมาใช้ครับ














 เรามาดูว่าตัวช่วยมีอะไรบ้าง


ช่น โปรแกรมนี้ http://www.drimaker.com/download.html



















































โปรแกรมนี้ http://www.easyhdr.com/download.php#free
 ตัวอย่าง  http://www.easyhdr.com/examples.php























โปรแกรมนี้  http://www.fdrtools.com/fdrtools_basic_e.php













หรือโปรแกรมนี้  http://www.hdrsoft.com/examples.html


ก็ลองกันดูครับ ถ้าสนใจ

มล. ผมไม่เคยใช้สักโปรแกรม ( ฮาาาา ) ว่าจะหาหนูลองยาแถวๆนี้

เวปคุณวิชัย รวมบทความphotography น่าอ่านมากครับ

http://members.thai.net/wichai/pg.htm
Photography

บทความเกี่ยวกับการถ่ายภาพซึ่งลงตีพิมพ์ในนิตยสารเก่า ๆ ที่มีอยู่ ขอนำมาเก็บไว้ที่นี่เพื่อนักเล่นกล้องยุคหลังจะได้ทราบถึงสิ่งที่บรมครูได้สอนสั่งไว้แต่ครั้งอดีต......

ผลงานเงินล้าน ศ.จ.ระพี สาคริก
ชี้แนะ ๑ โดย สุวัฒน์ จิตต์ปราณีชัย
ชี้แนะ ๒ โดย สุวัฒน์ จิตต์ปราณีชัย
ชี้แนะ 3 โดย สุวัฒน์ จิตต์ปราณีชัย
สร้างสรรค์ความงามจากการทำซ้ำ โดย จ.ศ.35
วิธีสร้างมุมมองให้ภาพ โดย พิเชฏฐ์ จันทรถาวรพงศ์
เรียนรู้การถ่ายภาพจากภาพถ่าย โดย อ.เชาว์ จงมั่นคง
ภาพถ่ายพิศเจริญ โดย อ.เชาว์ จงมั่นคง
ภาพถ่ายแนวสร้างสรรค์คืออะไร โดย อ.เชาว์ จงมั่นคง
ความไวชัตเตอร์กับการบันทึกภาพเคลื่อนไหว โดย อ.ศักดา ศิริพันธุ์
การวางจุดสนใจ โดย อ.เชาว์ จงมั่นคง
เคล็ดลับการถ่ายภาพนก โดย ประสิทธิ์ จันเสรีกร
บัญชรภาพถ่าย โดย ประสพ มัจฉาชีพ
บัญชรภาพถ่าย ๑ โดย ประสพ มัจฉาชีพ
บัญชรภาพถ่าย ๒ โดย ประสพ มัจฉาชีพ
ก่อนลั่นไก โดย ประสพ มัจฉาชีพ
9 วิธีในการถ่ายภาพ โดย ยศยง
ทำไมถึงพลาด โดย ประสพ มัจฉาชีพ
แคนดิด (1) โดย อ.พิชัย วาสนาส่ง
แคนดิด (2) โดย อ.พิชัย วาสนาส่ง
การจัดองค์ประกอบเพื่อภาพถ่ายที่สมบูรณ์ ๑
การถ่ายภาพต้นไม้ใบไม้ โดย เพนกวิน
ไพจิตร โอภาสวงการ กับชีวิตการถ่ายภาพ
ภาพถ่ายประกวด โดย พงษ์ศักดิ์ แย้มเกศร์หอม

FW: Life & Death - in just one second



>>> >> Watch the man on the left walking,
>>> >> crossing the road where there is no car.
>>> >> It is so definite that the coast on the left is
>>>clear,
>>> >> and safe to cross.
>>> >> Any human would see it is safe....
>>> >> however,
>>> >> God knows!
>>> >> .......just when he is half-way walking to cross to
>>>the
>>>other
>>> >> side,
>>> >> a car that just shoot pass the red-light (no

>>>brain!!!),
>>> >> clashed with an on-coming car (from right),
>>> >> pushing it with force,
>>> >> causing it to rammed forward,
>>> >> crashing into the man who was crossing the road!
>>> >> Just becareful when on the road.
>>> >> No taking for granted,
>>> >> even for a split second!

คลิกเข้าไปดูที่รูป

เรื่อง พี่เขยกับน้องเมีย

เฮ้อ คน คิด คน


 

 ดิฉันแต่งงานเมื่อ พ.ศ. 2534 และได้อยู่กินกับสามีด้วยดีจนมีลูกสาวนและลูกชายอย่างละคน ชีวิตก็มีความสุขดี มีรถยนต์ มีบ้านในเนื้อที่ 11 ตารางวา บนถนนแจ้งวัฒนะ
ดิฉันมีน้องสาว 1 คนเค้าไปได้สามีที่มีเมียหลวงอยู่แล้ว ตอนหลังเค้าเลิกกัน เขามาหาดิฉัน ดิฉันก็ให้น้องสาวมาอยู่ด้วยกัน แต่ว่ามาคนเดียวนะคะ ส่วนลูกๆอยู่กับสามีเขา น้องสาวมาอยู่กับดิฉันได้หลายปี จนมาวันหนึ่งหัวใจดิฉันเกือบสลาย
คือสามีดิฉันจะเลิกงานเวลา 24.00 น.และในเวลา 00.45 น. ดิฉันได้ยินเสียงรถของสามีมาถึงบ้านแล้วแต่ดิฉันหลับต่อ มาตกใจตื่นตอนตี 2 กว่านิดหน่อยไม่เห็นสามีนอนอยู่ ลุกขึ้นไปดูที่ห้องลูกๆก็ไม่มี ในห้องน้ำก็ไม่มี ใจหายวาบ รีบลงมาที่โซฟาข้างล่างก็ไม่มี รถยนต์ก็จอดอยู่แต่สามีดิฉันไปไหน มองที่ประตูบ้านก็ใส่กลอนอยู่
ดิฉันหัวใจเต้นแรงมาก เหลืออยู่ห้องเดียวคือ...ห้องน้องสาว.. ของดิฉัน ดิฉันเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วบ้าน หัวใจเต้นแรงผิดปกติ อยากจะเป็นลม แล้วมองไปที่ห้องของน้องสาวแล้วพยายามตั้งสติคิดในใจว่า ถ้าเขาเดินออกมาจากห้องนั้นดิฉันจะทำอย่างไร
ดิฉันนั่งมองประตูห้องของน้องสาว น้ำตาจะไหล นึกในใจว่า
จะทำอย่างไร ?
เราจะทำอย่างไรดี ลูกก็ยังเล็ก ดิฉันตัดสินใจ ” เลิก ” แล้วให้เขาไปอยู่กับน้องสาวที่อื่นส่วนดิฉันจะอยู่กับลูก คือยกสามีให้น้องสาวไปถ้าเขารักกัน
จนประมาณตี 3 กว่าๆ ดิฉันในใจว่าถ้าดิฉันโทรฯเข้ามือถือเขาแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ต้องดังออกมาจากห้องน้องสาวแน่ๆเลย เป็นไงเป็นกันดิฉันตัดสิ้นใจโทรฯแล้วก็ติดจริงๆค่ะ ใจดิฉันเต้นแรงจนเกือบหลุดออกมาข้างนอก ดิฉันยืนแอบอยู่หน้าห้องน้องสาว .... แต่เอ๊ะไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังออกมาจากในห้องของน้องแต่โทรฯติด เขาอยู่ใหน
“ ฮัลโหล ”
“ เธออยู่ไหน ” ดิฉันตวาด
“ อยู่ในรถจ้ะ ก็เธอใส่กลอนในบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ ช่วยเปิดให้หน่อยสิจ้ะ ”
เฮ้อ เบือตัวเองจริงๆ

 

สนามอวดภาพจากฝีมือเราเอง Present-friend.pantown.com

http://present-friend.pantown.com/
"ผมชอบหัวเรื่อง เก๋ดีฮับ"





มุมมอง ....

มองต่างมุม ...

อยู่ที่ว่า คุณมองมุมไหน ....



เจ้าบ้านไม่ใช่คนถ่ายภาพเก่งกาจอะไรเลย แต่ตั้งใจทำบ้านหลังนี้มาเพื่อ "อวด" เพื่อนๆ ให้เห็นว่า เจ้าบ้านไปพบเห็นอะไรมา แล้วอยากให้รู้ว่า ตอนนี้เจ้าบ้านมีการพัฒนาในเรื่องของการถ่ายภาพไปถึงไหนด้วยเท่านั้นเองค่ะ










@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

เก็บเอาไว้เป็นที่ผ่อนคลายความรู้สึกเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน

จิ๊กกาปู้ กำกับการแสดง

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 21, 2550

วันพุธ, มิถุนายน 20, 2550

อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ

อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี
1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า........แสดงว่า
เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน
เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย
และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ
แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี
แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง
สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู
กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว
นี่ไม่ใช่ปรัช­างี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน
เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี
แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......
คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่
ผลลัพธ์ที่ได้
เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ
นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ
ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า กูจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย

แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก

ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล


....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่


 
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

สุดยอดวิชาพรางตัวชั้นสูง




นินจาสำนักไหนนะ

หัวหน้าที่ขี้โรค ต้องรักษาสุขภาพไว้ด้วย รักนะจากลูกน้อง

หัวหน้าต้องออกกำลังกายให้แข็งแรงไว้นะไม่งั้นจะติดโรคดังต่อไปนี้

สารบัญ 50 โรคของหัวหน้างาน

โรคที่ 1 : โรคทำงานไร้เป้าหมาย
โรคที่ 2 : โรคสั่งงานแบบไร้สติ
โรคที่ 3 : โรคทองไม่รู้ร้อน
โรคที่ 4 : โรคชอบให้ทุกคนมีนิสัย (ประหลาด) เหมือนตัวเอง
โรคที่ 5 : โรคชอบพูดว่า ประตูห้องของผมเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นเสมอ (แต่...ผมไม่เคยเปิดประตูเลย)
โรคที่ 6 : โรคชีวิตนี้ (ตู) มีแต่งาน งาน งาน
โรคที่ 7 : โรคเพื่อนเราชอบเผาเรือน
โรคที่ 8 : โรคชอบใช้ศัพท์หรูๆ
โรคที่ 9 : โรคทำตัวไร้ตัวตน
โรคที่ 10 : โรคผู้บังคับบัญชานาซี
โรคที่ 11 : โรคไม่มีปัญหาครับท่าน
โรคที่ 12 : โรคเสมือนจริงใจ
โรคที่ 13 : โรครู้ไปหมดซะทุกเรื่อง
โรคที่ 14 : โรคทำงาน (ลึก) ลับอะไรไม่รู้
โรคที่ 15 : โรค "เลื่อนขั้นเหรอ" ชาติหน้าบ่ายๆ
โรคที่ 16 : โรคตัดสินใจ ทำไมยากจัง!
โรคที่ 17 : โรคแค้นฝังหุ่น
โรคที่ 18 : โรคหวงก้างไว้ทำเกลือหรือไง?
โรคที่ 19 : โรคคลั่งไคล้การประชุม (บ้าหรือปล่าว?)
โรคที่ 20 : โรคมีลูกน้องเหมือนจะฉลาด
โรคที่ 21 : โรคชอบชมลูกน้องจัง! (แต่ลับหลังคนอื่นฮ่ะ!)
โรคที่ 22 : โรคดีเป็นของตัว ชั่วเป็นของคนอื่น (ลูกน้อง!)
โรคที่ 23 : โรคชอบแทงข้างหลังคนอื่น (น่ากลัวจังเลยฮ่ะ!)
โรคที่ 24 : โรคจุ้นจ้านไปหมดทุกเรื่อง (คุณเป็นแม่หรือเป็นเจ้านายกันแน่?)
โรคที่ 25 : โรคชอบเล่าเรื่องโจ๊ก (แต่มันไม่ค่อยตลกเลย...เจ้านาย!)
โรคที่ 26 : โรคเดี่ยวไมโครโฟน (บ้าน้ำลายจริงๆ จ๊ะ!)
โรคที่ 27 : โรคฉันชอบประชุมตอนเช้า ใครจะทำไม?
โรคที่ 28 : โรคไม่ชอบประชุมเอาซะเลย
โรคที่ 29 : โรคเก่งคนเดียว คิดคนเดียว (แต่ตอนลงมือทำ ลูกน้องเพียบ!)
โรคที่ 30 : โรคลูกน้องทะเลาะกันเหรอ? ฉันไม่สนใจหรอกย่ะ
โรคที่ 31 : โรคมีลูกน้องที่คิดว่าตัวเองเป็น Superman
โรคที่ 32 : โรคข้าพเจ้าถูกแต่เพียงผู้เดียว
โรคที่ 33 : โรคชอบมีไอเดียใหม่ หลังลูกน้องทำงานเสร็จ
โรคที่ 34 : โรคแอนตี้คอมพิวเตอร์
โรคที่ 35 : โรคลดขนาดองค์การเหรอ? อืม ตัวใครตัวมัน
โรคที่ 36 : โรคพนักงานชั่วคราวเหรอ เมินซะเถอะ!
โรคที่ 37 : โรคไม่เคยติดตามการทำงานของลูกน้อง
โรคที่ 38 : โรคเตรียมพร้อมแปลว่าอะไร (ไม่รู้จักจริงๆ น่ะ!)
โรคที่ 39 : โรคจมกองเอกสารแต่งานไม่คืบหน้าไปไหน
โรคที่ 40 : โรค "เงิน" เท่านั้นคือการตอบแทน
โรคที่ 41 : โรค "คุณภาพ" เหรอ? อืม! แปลว่าอะไรล่ะ
โรคที่ 42 : โรคจำลูกน้องคนโปรดได้คนเดียว!
โรคที่ 43 : โรคประเมินผลงานด้วยวิธีที่ฉลาดน้อยที่สุด
โรคที่ 44 : โรคชอบสะสม "ระเบิดเวลา"
โรคที่ 45 : โรคไว้ใจลูกน้องไม่เคยสำเร็จ
โรคที่ 46 : โรคปฏิเสธใครไม่เป็น (คนดีจริงๆ ฮ่ะ!)
โรคที่ 47 : โรคปกครองระบบทาส
โรคที่ 48 : โรคยิ่งเครียดยิ่งผิดพลาด
โรคที่ 49 : โรคมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ (ตลอดกาล!)
โรคที่ 50 : โรคมนุษย์เจ้าปัญหา

เรื่องของคนเก่ง

 ถ้าถามว่าใครอยากเป็นคนเก่งบ้าง
ก็คงมีคนยกมือกันสลอนไปหมด
 แสดงว่าความเก่งนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ
 แต่ในความเก่งนั้น
 ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงเกิดขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งหลายๆคนไม่ชอบ เช่น

เก่งแล้วถูกอิจฉา
เคยมีหมอรุ่นน้องคนหนึ่ง มาปรึกษาและเล่าให้ฟังว่า
 เมื่อตอนที่เขากลับจากนอกใหม่ๆ เขาเป็นคนเก่งมาก  ฉลาดมาก
 ท่าทางดี บุคลิกดี การพูดจาเฉียบแหลม
การเสนอแนวความคิดดีมาก
เขากลับมาก็เข้ารับราชการ
 จากผลงานการทำงาน ที่มาจากสมองและความสามารถของเขา
ทำให้เขาประสบความสำเร็จ เจ้านายก็ชอบลูกน้องก็ชอบ
 แต่เพื่อนๆ หมอด้วยกัน ไม่ค่อยชอบเขา

เขาถูกโจมตีด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มีคนคอยจับผิด
 ขยายความผิดเล็กน้อย ให้กลายเป็นความผิดใหญ่โต
 ในวงการวิจารณ์และนินทา
 จะต้องมีชื่อของเขาถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้งมาก
 หมอรุ่นน้องที่เคยเดินตามหลังเขามาก็พลอยอิจฉาไปด้วย
หมอรุ่นพี่บางคนที่ก้าวร้าวมากหน่อยถึงกับเคยจับแขนถามว่า
 เมื่อไรจะลาออกไปเสียที
เขาเคยนึกโกรธและคิดจะลาออก
 แต่ก็เตือนตัวเองเอาไว้ว่า ไม่ควรจะลาออก ในตอนโกรธ
จนสุดท้ายเขาเกิดความรู้สึกว่า
 เขาน่าจะได้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมอะไรๆ ได้อีกมากมาย
ถ้าหากลาออกจากราชการ
เขาจะลาออกจากราชการด้วยความพร้อมและไม่ได้โกรธบุคคลเหล่านั้น
เป็นแค่รู้สึกตัวว่าถูกอิจฉามาก
ขณะนี้เขาก็ประสบความสำเร็จ ในอาชีพส่วนตัวของเขามากมาย

 เก่งแล้วเหงา
รายนี้เป็นนักบริหารระดับสูงของบริษัทที่ใหญ่โตแห่งหนึ่ง
เขาจบการศึกษาจากต่างประเทศ บุคลิกดี พูดจาคล่องแคล่ว
ฉะฉาน ความคิดริเริ่มดีมาก
 และประสิทธิภาพในการทำงานก็เป็นเยี่ยม
 เขาเล่าให้ผมฟังว่า

เจ้านายชอบเขามาก
เพราะเขามีส่วนช่วยพัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้าและทำกำไรให้มากกว่าเดิมมากมาย
 เขาได้รับการสนับสนุนจากนาย ทั้งตำแหน่งและเงินเดือน
ลูกน้องโดยตรงที่อยู่ระดับล่างๆ จะเกรงใจเขา
 และพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขาทุกประการ
แต่บุคคลที่อยู่ระดับบริหารในฐานะที่ใกล้เคียงกับเขา
 หรือเป็นรองเขาเล็กน้อยจะไม่ค่อยชอบเขา
มักจะไม่ให้ความร่วมมือหรือมักรวมหัวกันประท้วงเงียบบ่อยๆ
 ทำให้มีอุปสรรคมากขึ้นในการทำงาน เขาเล่าให้ฟังว่า
 "งานบางอย่างผมทำให้เสร็จได้ภายใน 1 วัน
 แต่ถ้าให้พวกเขาทำกัน เขาจะเสียเวลาในการประชุมถกเถียงด้วยวิธีที่เยิ่นเย้อ
หรือมีการเสนอแผนงานที่ไม่รัดกุม
 ทำให้ผมรำคาญ ครั้นพอผมเสนอแผนงานออกไป
 มันเข้าท่ากะทัดรัดและผลลัพธ์ก็ได้ดี จึงทำให้พวกเขารู้สึกเสียหน้า และไม่ชอบผมเลย"
เขาก็รู้สึกเหงา ทั้งที่ทำงานได้ผลดี แต่รู้สึกว่าไม่มีเพื่อน
 "บางครั้งผมรู้สึกว้าเหว่ และชักไม่แน่ใจว่า
 ตัวเองจะทำงานไปเพื่ออะไร ทำไมผมจึงไม่มีเพื่อน
ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองอยากได้เพื่อน
 และพยายามทำดีกับเขา แต่เขาก็ไม่ยอมรับให้ผมเป็นเพื่อน
ผมรู้ดีว่าความสำเร็จในขั้นสูงสุดต่อไปนั้น
ต้องอาศัยแรงผลักดันจากเพื่อนร่วมงานที่พร้อมจะร่วมมือด้วย
 ผมจึงกังวลกับความรู้สึกว้าเหว่ ในที่ทำงานของผม" เขากล่าวในตอนท้าย

เก่งแล้วระวังตัว
คนเก่งรายนี้จบปริญญาเอก มาเล่าให้ฟังว่า
ด้วยความรู้สึกที่ว่าเขาเป็นคนเก่ง ทำงานเก่ง ประสบความสำเร็จมาก
ผู้คนรอบข้างก็คอยดูว่า เขาจะทำอะไรต่อไป
และอีกหลายๆ คน ก็พร้อมจะเยาะเย้ยทันที ที่เขาทำอะไรพลาด
เขากล่าวว่า "ผมเลยต้องคอยระวังตัวในการทำงานอยู่เสมอๆ
เพราะกลัวว่าถ้าพลาดลงมาจะมีคนพร้อมจะกระทืบซ้ำทันที"
 แน่นอน มนุษย์อิจฉาคนเก่ง แน่นอนที่สุด
 ที่คำกล่าวนี้เป็นจริง เพราะมนุษย์อยากมีความเก่ง
 แต่มนุษย์ก็ไม่ค่อยมีความเก่งกันหรอก

ความเก่งจึงเป็น 'ของหายาก' ที่ใครๆก็อยากได้มีไว้ในครอบครอง
 เมื่อตัวเราไม่สามารถมีไว้ได้ ก็เลยอิจฉาคนอื่นที่เขามีอยู่
 และไม่อยากให้เขามีไว้ ในครอบครองด้วย โดยเฉพาะคนเก่งที่เป็นผู้ชาย
 เขาจะถูกอิจฉาโดยผู้ชายด้วยกันมากมาย
 แม้ว่าต่อหน้าเขาจะทำท่าทีชื่นชมกันก็ตาม
 เพราะผู้ชายเป็นเพศที่อยากได้อำนาจ และอยากได้ความตื่นเต้นมากๆ
 ความเก่งจะทำให้เขาได้อำนาจ และสร้างความตื่นเต้นของชีวิต ในรูปแบบต่างๆ ได้
 ผู้ชายจึงพร้อมจะเลียนแบบ คนเก่งได้ดี
และก็พร้อมจะโค่นคนเก่งลงได้ดีเช่นกัน
 เพราะความอิจฉาโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีศักยภาพใกล้เคียงจะอิจฉากันมาก
 ถ้าหากมีสถานภาพหรือศักยภาพ แตกต่างกันมากๆ
จะไม่อิจฉากันมากหรอก เช่น ขอทานหรือภารโรง มักไม่อิจฉานายกรัฐมนตรีหรอก!

ผู้หญิงจะชื่นชมคนเก่ง ได้ดีกว่าผู้ชาย ใช่ถ้าคนเก่งนั้นเป็นผู้ชาย
ผู้หญิงจะเป็นพวกที่ชื่นชมคนเก่งที่เป็นผู้ชายได้อย่างมั่นคง
 และอย่างออกหน้าออกตา และในความหมายของคนเก่งนั้น
 เราก็มักนึกถึงผู้ชายกันมากกว่าผู้หญิง

 ผู้ชายเก่งทั้ง 3 รายที่กล่าวมาแล้วนั้น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เขาไม่มีปัญหากับผู้หญิงเลยและผู้หญิงเป็นกลุ่มที่ชื่นชมเขา
 อย่างออกหน้าออกตาด้วย เป็นไปได้ว่า
 ในสภาพจิตใจของผู้หญิงนั้น พวกเธอต้องการความปลอดภัย และความมั่นคงในชีวิต
 ไม่ชอบเสี่ยงโลดโผนอะไรมากนัก
ฉะนั้นการรู้จักคนเก่งจึงทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย และอยากอยู่ใกล้
 อยากเก็บเอาไว้นานๆมากกว่าอยากจะแข่งขัน หรือทำลายเสีย

ถ้าเป็นผู้หญิงเก่งเล่า ใครจะอิจฉาดูออกจะเสียเปรียบสักหน่อย
ที่ถ้าผู้หญิงนั้นเก่งเท่าๆกับผู้ชาย   ผู้หญิงด้วยกันก็จะอิจฉา และผู้ชายก็จะยอมรับได้ยาก

 แต่ถ้าหากเก่งเกินชายไปเลยก็จะเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งจากชายและหญิง
 ก็ดูอย่าง อินทิรา คานธี หรือ มาร์กาเร็ต แทตเชอร์เป็นไร

เก่งแล้วให้สบายใจด้วย ทำอย่างไรดี
นั่นคือคำถามที่ผมได้รับจากคนเก่งอยู่เรื่อยๆ

ก็เลยอยากแนะนำว่า

1. ต้องรู้จักถ่อมตัวให้เป็น อย่ายกตัวนัก คนเขาไม่ชอบ จงให้โอกาสคนอื่นเขาเก่งบ้าง
สนับสนุนหรือให้โอกาสคนอื่นเขาพูดถึงความสำเร็จของเขาบ้างชมเขาด้วย และต้องชมด้วยความจริงใจ

 2. ทักทายคนอื่นก่อนเสมอ ๆ จับไม้จับมือลูกน้องบ้างเมื่อมีโอกาส(เพศเดียวกัน)
ถ้าไปงานชุมนุมศิษย์เก่าของสถาบันคุณก็ต้องเป็นฝ่ายไปทักทายเพื่อนฝูงก่อนเสมอ อย่ารอให้เขามาทักทาย
เรา
เพราะจะมีอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่กล้าหรือไม่ยอมเข้ามาทัก แต่จะไปนินทาลับหลังว่า หยิ่ง ...ยโส
จงยิ้มแย้มแจ่มใสต่อคนอื่นเสมอๆ เมื่อมีโอกาสก็ให้วานลูกน้องหรือคนอื่น
ทำอะไรให้ตัวเองเสียบ้าง ก็คือทำตัวเป็นคนไม่เก่ง
หรือเป็นคนอ่อนแอเสียบ้าง คนที่เขาได้ทำอะไรให้เราได้บ้าง เขาจะได้ชื่นใจ

3. มีความคงเส้นคงวา รักษาความเก่งให้คงที่ เพราะคนเก่งนั้นคนเขาคาดหวังสูง
 ถ้าทำอะไรเหมือนคนทั่วๆ ไป คนอื่นเขาก็จะแลดูว่าธรรมดาหรือไม่เข้าท่า
ฉะนั้นขั้นตอนการทำงานและประสิทธิภาพ ในการทำงานของคนเก่งจะต้องดีกว่าคนอื่นๆ

4. มีโลกส่วนตัวของตัวเอง จงคบกับเพื่อนสนิทๆ ที่จะได้บ่นหรือแสดงความอ่อนแอได้บ้าง
 ฝึกหัดจิตใจของตัวเองให้ยอมรับความพ่ายแพ้ที่จะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งแน่ๆ
 เพราะแม้ว่าเราจะเก่งแค่ไหน แต่เราก็ต้องแก่ลงๆ จะมีคนอื่นที่เก่งกว่าเข้ามาแทนที่
 เราจะได้ไม่เสียใจมากขึ้นเมื่อถึงเวลานั้น

5. คนเก่งทั้งหลายมักมีเงื่อนไขมากต้องลดเงื่อนไขในชีวิตของตนเองและกับคนอื่นลงด้วย
ต้องฝึกใจให้มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข(Unconditioned Love) กับบุคคลทั่วๆ ไป
รักในความเป็นเพื่อนมนุษย์ของเขาเท่านั้นก็พอ ใจจะกว้างขึ้น

 6. ต้องมีการรู้ระวังตัวเอง (Self Awareness)อยู่ตลอดเวลา
รู้ว่าตอนไหน ควรทำอะไรและอย่างไร จึงจะเหมาะสม
ความเหมาะสมเป็นสิ่งที่คนเก่งมองข้ามเสมอ เพราะมักจะมองแค่ความถูกต้องเรื่อยๆ

 7. ช่วยพัฒนาลูกน้อง หรือคนข้างเคียงไปด้วย เขาจะได้ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง


ก็ขอให้คนเก่งทั้งหลายจงโชคดี
อย่าเก่งแล้วโชคร้าย โดยมีคนเกลียดรอบข้างมากมายเลย

เรียบเรียงโดย : ศ.ดร.น.พ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)

บางสิ่งลด บางสิ่งเพิ่ม


สมดุลย์ของชีวิต

วันอังคาร, มิถุนายน 19, 2550

ใครซื่อ bluetooth usbแบบนี้มาแล้วใช้ไม่ได้ ให้ใช้วิธีนี้ครับ

พอดีมีคนรู้จักซื้อมา แต่ไม่มีไดรเวอร์มาด้วย
ลองหาดูในเวป ก็พบวิธีนี้ครับ
ลองแล้ว work


If your bluetooth dongle shows up as a BCM2045A under Other Devices in Device Manager, there’s an easier way to configure it without having to install its bulky driver from the CD you got. And if you didn’t receive a CD with your BCM2045A Bluetooth Dongle, this guide is definitely for you.

Tested on: Windows XP Professional and Windows Vista Ultimate.

First, connect the device to the computer via USB as usual. Now Windows will tell you installing the new hardware has failed and so on, not even Windows Update can resolve it. This is typical of Windows as it doesn’t have the required drivers for this particular Broadcom BCM2045A Device.



Now right-click on My Computer and hit Manage. From the window that pops out, click Device Manager on the left side-pane. You must see the ‘BCM2045A’ written in it under the section ‘Other Devices’. Right click that and hit Properties now. Go to the details tab and from the drop down menu that appears, select Hardware ID. You should see two lines that look like below:

USBVID_0A5C&PID_2045&REV_0112
USBVID_0A5C&PID_2045

Right click the second one (Without the REV* thing) and select Copy.

Now head to My Computer and under the Windows directory, enter the directory named INF (or inf) and locate the bth.ini file in it. Open the bth.ini file with your favorite text editor (I prefer the vanilla Notepad), and find the line called “Device Section Start” in it.

Now locate the name ‘Broadcom‘ and under it, you’ll see a device of BCM2033 or so with a different Hardware ID. Just replace the 2033 with a 2045A and the 2033 in the Hardware ID line (Something like “Transceiver= BthUsb, USBVID_0A5C&PID_2033“) with 2045 in place of 2033. Else, just erase the USB/VID line and paste the one you had earlier copied into the clipboard.


Save the file and quit.

Now replug the device and go to Device Manager again via My Computer - Manage. Find the BCM2045A again and right click and choose Update Driver. When Windows offers to search for drivers for the 2045A ask it to show you a list of known hardware to choose manually. Now look for Bluetooth Radio devices and under that look for Broadcom.

Under Broadcom, choose the one that has 2045A (i.e, the one we edited. It may still show up as 2033, but still, select it!) And hit next. The devices will now be found, installed and configured. Thus, you dont need to install the crappy drivers from the CD unless you’re in love with it…

Happy hacking.


http://www.harshj.com/2007/02/06/configuring-the-broadcom-2045a-bluetooth-dongle-in-windows/


http://www.4shared.com/network/search.jsp?sortType=1&sortOrder=1&sortmode=2&searchName=bluesoleil+&searchmode=2&searchName=bluesoleil+&searchDescription=&searchExtention=&sizeCriteria=atleast&sizevalue=10&start=0






Attachment: Bs505178.rar
Attachment: BS1614.rar

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง



ตามรูปที่วาดขึ้นเป็นห่วง 3 ห่วงคล้องกัน ก็เพราะปัจจัยสำคัญทั้ง 3 ข้อ ควรพิจารณาพร้อมๆกัน และที่เจาะจงให้เป็นฐานใหญ่ก็คือ เงื่อนไข ก็เพราะจะต้อง
เข้ามาเป็นพื้นฐานที่สำคัญในทุกๆเรื่อง

ความหมายของ 3 ห่วง
ก่อนตัดสินใจทำการสิ่งใด ทั้งการงาน และการดำรงชีวิต ควรพิจารณาถึง 3 ห่วงหลัก ดังนี้


ความพอประมาณ
หมายถึง ความพอดี ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไป  และไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ความพอดีของแต่ละคน แต่ละครอบครัว แต่ละองค์กรย่อม
ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เราต้องประมาณรู้ของเราเองว่า อัตภาพของเราอยู่ตรงไหน สถานภาพ  ฐานะการเงิน และความสามารถของเรามีแค่ไหน 

    ง่ายๆ ก็คือ เราต้องรู้กำลัง รู้ทุนของเราเอง จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะซื้อ หรือจะลงทุน ก็ควรทำตามที่กำลังของเรามี และก็ไม่เดือดร้อนตนเอง คือ ไปกู้หนี้
ยืมสินมากมายจนเกินฐานะของตนเอง

    ถ้าคนรวยจะซื้อรถราคาแพงก็ย่อมทำได้ และถ้ามันพอประมาณสำหรับเขา แต่ในขณะที่คนฐานะปานกลาง จะซื้อรถก็ต้องคิดว่ามันพอเหมาะกับ
กำลังของตน คนที่ทำงานแล้ว หาเงินได้ด้วยตนเอง เก็บออมเงินไว้พอสมควร หากเขาจะตัดสินใจซื้อกระเป๋าสวยหรูมาถือก็ไม่น่าจะเป็นอะไร

    แต่ถ้าเด็กวัยรุ่นแอบเจียดเงินค่าเทอมมาซื้อกระเป๋าสวยหรูเพื่อถือไปอวดเพื่อน ก็คงไม่เหมาะ ไม่พอประมาณ วัยรุ่นต้องตระหนักว่า เงินที่ใช้อยู่นั้นเป็นทุน
ที่มาจากหยาดเหงื่อของพ่อแม่ และควรใช้ไปในทางที่เกิดประโยชน์กับการศึกษา ซึ่งจะเป็นหลักของตนในอนาคต

    ในขณะเดียวกันวัยรุ่นก็ควรรู้จักแบ่งเวลาให้ถูกต้อง พอประมาณกับสิ่งที่ตนกำลังทำ ไม่ควรเขม็งเกลียวเคร่งเครียดเกินไป ต้องรู้จักพักผ่อน มีสันทนาการ
บ้าง ซึ่งก็ควรมุ่งไปทางด้านกีฬา ศิลปะที่สร้างสรรค์ และรู้จักให้การช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

    ในการทำธุรกิจ แต่ละองค์กรก็จะมีความพอดีที่ต่างกัน ถ้าเป็นองค์กรใหญ่จะลงทุนทำอะไร ผู้บริหารต้องรู้ว่าแค่ไหนจึงจะลงทุนแล้วครอบคลุมกับเนื้องาน
หรือทั่วถึงคนในองค์กร เพราะถ้าน้อยเกินไปก็จะไม่สัมฤทธิ์ผล  แต่ถ้าเป็นองค์กรขนาดเล็กๆ การทำตามกำลังที่มีอยู่ จะทำให้ไม่ต้องแบกภาระมากมาย
เกิดการควบคุมงานที่ทั่วถึงกว่า เกิดประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จได้มากกว่า


ความมีเหตุผล

ความมีเหตุผลนั้น เราต้องคิดทบทวนอย่างรอบคอบ ต้องพิจารณาจากเหตุทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง และยังต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาด้วย

    คำว่า   “อยากได้ ”    “ ใครๆเขาก็มีกัน ”    “ กำลังอินเทรนด์ ”   “ มันเป็นแฟชั่น ”   “ ไม่มีแล้วอายเขาแย่เลย ” คำเหล่านี้คือข้ออ้างของคนประเภท
วัตถุนิยม เป็นความฟุ้งเฟ้อ ไม่ถือเป็นเหตุผลของคนพอเพียง เนื่องเพราะคนพอเพียงจะคำนึงถึงประโยชน์มากกว่ารูปแบบ

    “ เราต้องลงทุนในเมกะโปรเจ็คต์ เพื่อกระตุ้นตัวเลขเศรษฐกิจและความสนใจลงทุนของ ชาวต่างชาติ ” เป็นเหตุผลของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทั่วไป
ขณะที่ “ เราต้องลงทุนในโครงการนี้แม้จะเป็นเมกะโปรเจ็คต์ ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวก และเป็นประโยชน์แก่สาธารณชน ” นี่ต่างหากจึงจะเป็นเหตุผลที่
แข็งแรงของเศรษฐกิจแบบพอเพียง


มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี

ภูมิคุ้มกัน คือ การรู้จักจัดการกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับกับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆที่
จะเกิดขึ้น เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

    เพราะ อนาคตคือความไม่แน่นอน เราไม่อาจรู้ว่าสถานการณ์ของโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร  เศรษฐกิจจะผันผวนไปแค่ไหน ความต้องการของตลาด
จะเปลี่ยนไปอย่างไร กระทั่ง เราไม่อาจรู้ได้ว่า เราจะเจ็บป่วยเมื่อไหร่ หรือ โชค จะเข้าข้างเราหรือไม่

    ภูมิคุ้มกัน จะทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เรารู้จักที่จะวางแผนที่ดีในวันนี้ เพื่อวันข้างหน้า ทำให้เรารู้จักหาทางหนีทีไล่ มีแผนสำรองเพื่อการแก้ไขปัญหา
ที่หลากหลาย  
                 
    ภูมิคุ้มกัน สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ในหลากหลายรูปแบบ

    - ในแง่ร่างกาย ถ้าเรียนหนัก ทำงานหนัก ก็ต้องพักผ่อนให้พอ กินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อจะได้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย
    - ในแง่การเงิน ต้องมีเงินออมไว้เผื่อใช้ยามฉุกเฉิน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ ออมไว้เพื่อลงทุนเพิ่มเติม หรือเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ
    - ในแง่สังคม เราต้องมีเพื่อน มีคนรู้จัก เพื่อการช่วยเกื้อกูลกันได้ในอนาคต

การพึ่งพาตนเองได้นั้น นับว่าเป็นภูมิคุ้มกันที่ดียิ่ง ทำให้ตัวเรามีความแข็งแรง ชุมชนและประเทศมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะรับกับสถานการณ์ต่างๆ  รวมถึง
การที่จะออกไปสู้กับโลกภายนอกด้วย

ความหมายของ 2 เงื่อนไข
การตัดสินใจและการจะทำอะไรให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน


ความรู้

คือ ความรอบรู้ ในสิ่งที่จะทำอย่างถ่องแท้  และรอบด้าน
คือ ความรอบคอบ ที่จะนำความรู้มาพิจารณา เพื่อวางแผน ไม่หวือหวา หุนหันพลันแล่น
คือ ความระมัดระวัง ใช้ความรู้ให้เหมาะกับกาละ และเทศะ

    คนจะพอเพียงได้ต้องมีความรู้ในวิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำอย่างรอบด้าน ยิ่งรู้ลึกรู้จริง ก็ยิ่งดีต่อการปฏิบัติ

    หากจะทำธุรกิจ ก็ต้องศึกษาธุรกิจนั้นๆ จนกระจ่าง จนรู้จริง เช่น ทำอย่างไร มีบุคลากรไหม ตลาดเป็นอย่างไร มีคู่แข่งมากไหม หาลูกค้าอย่างไรจะผ่าน
อุปสรรคอย่างไร

    ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง แค่เพราะเห็นคนอื่นเขาทำแล้วประสบความสำเร็จ เราก็จะล้มเหลวตั้งแต่ต้น

คุณธรรม
หมายถึง ความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต รู้จักการแบ่งปัน ไม่โลภ และไม่ตระหนี่
    เป็นคนเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นคนดีด้วย
    ความเก่งและความดีของเราจะเอื้อประโยชน์แก่ตัวเรา และสังคม
    คุณธรรม คือ ศักดิ์ศรีที่จะทำเกิดความภาคภูมิใจ
    คุณธรรม ของเราก็จะค้ำจุนตัวเราเองและคนรอบข้าง

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ คำตอบของการอยู่รอด และหนทางสู่ความสุขของคนไทยทุกคนในวันนี้
3 ห่วง 2 เงื่อนไข จะอยู่ในจิตสำนึกของเรา และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตนเองอย่างจริงจัง



สนใจตามไปดูที่นี่เด้อ   http://www.pp-gen.com/


วันอาทิตย์, มิถุนายน 17, 2550

MY photo mapping

ลองมานั่งนึกๆดู ผมเองไม่ใช่คนชอบเดินทาง แต่ด้วยภารกิจการงานทำให้ต้องไปโน่นมานี่เสมอ
ยิ่งช่วงหลังๆมีกล้องดิจิตอล เวลาไปไหนมาไหนก็ถ่ายรูปไว้สักหน่อย
พอเวลามาค้นๆรูปดู เออแฮะ เราก็ไปมาหลายจังหวัดแล้วนี่นา (รวมถึงต่างประเทศด้วย)

ทีนี้ก็นึกต่อไปว่าจะเอาข้อมูล รูปถ่าย ในหลายสถานที่มาประกอบร่างกันได้อย่างไร
นึกไปนึกมาก็เลยลองทำได้แผนที่การถ่ายรูป (เดินทาง) แบบนี้ขึ้นมาละครับ



วันเสาร์, มิถุนายน 16, 2550

ArtRage

Rating:★★★★
Category:Computers & Electronics
Product Type: Computers
Manufacturer:  Ambient Design
โปรแกรมวาดรูปแบบน่าใช้อะ
ชอบการออกแบบ ทางซ้ายเป็นวงเครื่องมือ ทางขวาเป็นวงสี น่าเล่น อิอิ

ดาวโหลด เวอร์ชั่น 2 แบบฟรีมาเล่นได้ http://www.ambientdesign.com/artragedown.html

แต่รู้สึกว่า เวอชั่น 1 จะดีกว่าแม้เครื่องมือน้อยกว่า แต่เล่นได้ทุกชิ้น โหลดเวอร์ชั่น 1 ได้ที่นี่
http://download.kapook.com/publish/article_1022.shtml


วันศุกร์, มิถุนายน 15, 2550

รูปที่เหนแล้วไม่้่ได้ถ่าย

มักเป็นรูปที่สวย เนอะ


ถ้าวันไหนได้กลับบ้านไว ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน มุมนึงที่มักจะละสายตาเหลียวมองก็คือ ตอนข้ามสะพานหน้าศูนย์ประชุมสิริกิต
เพราะจะได้เห็นช่องของตึกและฟ้าี่ที่โล่ง และได้เห็นแสงอาทิตย์ตก

วันนี้ก็เช่นกัน รถติดนิดๆบนสะพาน ทำให้ชะลอคันเร่งเหลือบมองไปทางขวาเช่นเคย
ภาพที่เห็น คือ เมฆก้อนโต สีชมพู ตั้งอยู่ทางซ้าย
ตรงกลางมีช่องแสงไฟรถ สองสี ทางซ้ายสีแดงๆทางขวาสีเหลือง
ที่สุดปลายสายตาคือขอบผ้าสีทองคำอร่ามตา

โอ้สวยงามยิ่งนัก

แม้ไม่มีโอกาสหยุดรถถ่ายรูป แต่ก็ขอมองผ่านตาบันทึกลงสมองถ่ายทอดออกมาทางภาพวาดเห่ยๆนี่และกัน

Attachment: 1234.jpg

วันอังคาร, มิถุนายน 12, 2550

ความสุขอยู่ที่ใด

ความสุขอยู่ที่ใด

ธามาดา

           ฉันไม่มีความสุข...

 

           ฉันไม่ชอบงานที่ฉันทำ   เพราะมันน่าเบื่อและไม่มีที่สิ้นสุด

           ฉันไม่ชอบเจ้านาย   เพราะเขาไม่เคยคิดหรือทำอะไรเองนอกจากชี้นิ้วสั่งกับดุด่าฉันเท่านั้น

           ฉันไม่ชอบเช้าวันจันทร์   เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ตื่นขึ้นมาเผชิญโลกที่โหดร้าย  แต่ละสัปดาห์ของการทำงานดูราวกับการคืบคลานไปท่ามกลางสนามรบ

           ฉันไม่ชอบเช้าวันอังคาร   เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำงานไปได้วันเดียวยังมีอีกหลายวันที่โหดร้ายรออยู่

           ฉันไม่ชอบเช้าวันพุธ   เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับความล้าและพบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น

           ฉันไม่ชอบเช้าวันพฤหัสบดี   เพราะเป็นวันที่ฉันเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดหลายวัน  แต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไป  พรุ่งนี้ก็ยังต้องทำงาน

           ฉันไม่ชอบเช้าวันศุกร์   เพราะฉันเหนื่อยจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังต้องลุกไปทำงาน

           ฉันไม่ชอบเช้าวันเสาร์   เพราะฉันอยากตื่นสายๆ  แต่กลับมีเด็กบ้านใกล้ๆวิ่งเล่นเสียงดังจนต้องตื่นแต่เช้า

           ฉันไม่ชอบเช้าวันอาทิตย์   เพราะฉันจะถูกปลุกแต่เช้าเช่นกันด้วยเสียงเครื่องรถยนต์ของเพื่อนบ้าน

           ฉันไม่ชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์   เพราะมันทำให้ร้านรวงในกรุงเทพฯปิด จะซื้อหาอะไรก็ยาก จะออกไปต่างจังหวัดคนก็มาก  ฉันเคยเห็นรถติดบนยอดเขาห่างไกลในวันสิ้นปีมาแล้ว

           ฉันไม่ชอบรถติด   เพราะมันทำให้ฉันถึงที่ทำงานช้า

           ฉันไม่ชอบรถเมล์   เพราะฉันต้องยืนเบียดกับคนแปลกหน้าและร้อนอบอ้าว

           ฉันไม่ชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่   เพราะมันคับแคบแออัด เปิดหน้าต่างออกไปเห็นแต่ตึกบังท้องฟ้า

           ฉันไม่ชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด   เพราะมันห่างไกลมากและมีแต่ความกันดาร

           ฉันไม่ชอบนิยายน้ำเน่า   เพราะมันไม่เคยให้แง่คิดหรือช่วยพัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้นเลย

           ฉันไม่ชอบหน้าร้อน   เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอบอ้าวและหงุดหงิดทั้งวัน

           ฉันไม่ชอบหน้าฝน   เพราะมันทำให้ฉันเปียกแฉะ เดินทางลำบาก ตากผ้าก็ไม่แห้ง

           ฉันไม่ชอบหน้าหนาว   เพราะมันทำให้ฉันเป็นหวัดและไม่มีชีวิตชีวา

           ฉันไม่ชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา   เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทำให้ฉันหางานทำลำบาก

              ฉันไม่ชอบกรุงเทพ   เพราะที่นี่มีแต่ความเบียดเสียด ทุกอย่างเร่งรีบและดิ้นรนผู้คนเห็นแก่ตัว

 

           ฉันไม่มีความสุข...

           ความสุขอยู่ที่ไหนกัน...

 

           .......................................................................................................................

 

 

           วันหนึ่งฉันยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แม่ลูกคู่หนึ่งนั่งรอรถอยู่ใกล้ๆ ผ่านไปสักพักอยู่ๆลูกชายวัยซนของหญิงคนนั้นก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าและบอกกับแม่ แม่หมาอยู่บนฟ้า

           ไหนลูก แม่ขมวดคิ้วแล้วโน้มตัวมองตามลูก อ๋อ เมฆน่ะเหรอลูก ดูเป็นหมายังไงนะ

           นี่ไงแม่ ตรงที่ยื่นๆออกมานี่เป็นหัวหมา นี่หูมัน มีขาหน้าด้วย

           แล้วขาหลังล่ะลูกไม่เห็นมีเลย

           มันกระโดดออกจากปุยนุ่น ขาหลังมันเลยจมในปุยนุ่น เด็กชายว่า

           ฉันหันไปมองเมฆก้อนนั้นตามด้วนความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมันเป็นแค่ก้อนเมฆสีขาวไร้รูปทรงธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความเหมือนกับหมาตรงไหนเลย ฉันยักไหล่แล้วหันไปชะเง้อมองรถเมล์บนถนนตามเดิม เสียเวลาฟังเจ้าเด็กฟุ้งซ่านจริงๆ

           เหรอ...แต่แม่ว่ามันดูเหมือนกับยีราฟนะลูก เห็นมั้ย คอมันยาวเป็นยีราฟเลย หูชี้ด้วย

           ไม่ใช่นะแม่ ยังเป็นหมาอยู่ หมาคอยาวๆโอ๊ยๆๆทำไมขามันหายไปแล้วล่ะ

           ข้างบนลมคงพัดแรงน่ะลูก เมฆมันเป็นแค่ไอน้ำที่ลอยในอากาศและจับตัวกันเป็นก้อน พอลมพัดมันก็เปลี่ยนรูปร่างเหมือนกันตอนที่ลูกเป่าควันในชามก๋วยเตี๋ยวร้อนๆไงจ๊ะ

           ฉันเงยหน้ามองก้อนเมฆไอน้ำสีขาวบนทั้งฟ้าอีกครั้ง ฉันมองอย่างไรก็เห็นเป็นเพียงแต่เมฆธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่แม่ลูกคู่นั้นเห็นเป็นสัตว์ต่างๆมากมาย ทำไมของสิ่งเดียวกันแต่คนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันกลับมองไม่เหมือนกัน หรือว่ามาลูกคู่นี้เห็นในสิ่งที่ฉันไม่เห็น...

          

           บนรถเมล์ที่ฉันโหนไปทำงาน เด็กนักเรียนสองคนใกล้ๆ กำลังพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

           ทำไมแกรีบอ่านหนังสือคร่ำเคร่งนัก กว่าจะสอบก็ปีหน้าไม่ใช่เหรอ

           ต้องรีบอ่านสิ อีกแค่ปีเดียวพวกเราต้องสอบแล้วนะ นี่อ่านแทบไม่ได้นอนมาหลายเดือนแล้ว

           เหรอ...

           แล้วแกล่ะ ทำไมจนป่านนี้ยังไม่อ่านหนังสือสักที

           ไม่ต้องรีบหรอก อีกตั้งปีกว่าจะถึงวันสอบ

           ฉันมองตามหลังเด็กทั้งสองขณะที่พวกเขาเดินลงจากรถหน้าโรงเรียน นับว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนสองคนที่มองสิ่งเดียวกันต่างออกไป คนหนึ่งมองอย่างเป็นทุกข์ อีกคนมองอย่างไม่ทุกข์ หรือว่าทุกสิ่งรอบตัวสามารถมองได้สองแบบจริงๆ แบบเดียวกับที่ฉันมองสองด้านของเหรียญหรือมองแก้วน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว

 

           แล้วที่ฉันไม่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้เกิดจากการมองของฉันใช่หรือไม่...

 

           เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านมานั่งพักที่ระเบียง แมวดำตัวหนึ่งกำลังพยายามจะมาคุ้ยหาขยะในถุงดำที่มัดกองไว้หน้าบ้าน แต่แรกฉันทำท่าจะถอดรองเท้าขว้างใส่แบบที่เคยทำมา แต่พอคิดไปอีกทางว่าการเกิดเป็นแมวจรจัดไร้เจ้าของและที่ซุกหัวนอนนั้นก็แย่พออยู่แล้ว ยังต้องมาคุ้ยขยะหาอาหารประทังชีวิตให้รอดแล้วยังถูกคนขับไล่อีกไปที่ไหนก็มีแต่คนไม่ต้อนรับเอ็นดู

           ฉันลองเปลี่ยนความคิดดู หันหลังเดินเข้าครัว หยิบไส้กรอกอีสานและแฮมในตู้เย็นออกมาอุ่นเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดประตูบ้านออกไป แมวดำยังอยู่ที่กองขยะหน้าบ้าน แสงจากเสาไฟฟ้าที่ส่องสลัวลงมาถึงตัวของมันทำให้มองดูเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก ฉันส่งเสียงเลียนแบบแมวดังเมี้ยวๆ จนมันหันมามอง

           กินซะนะ อยู่ด้วยกันมานานฉันเพิ่งจะมาใจดีวันนี้แหละ

           แมวตัวนั้นค่อยๆเดินมาอย่างกล้าๆกลัวๆจนมาหยุดใกล้ๆฉันจึงวางไส้กรอกอีสานกับหมูแฮมลงบนพื้น แมวจรจัดส่งเสียงร้องเหมียวๆขณะก้มลงดมอาหารมื้อพิเศษนั้น ในที่สุดมันก็กินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว

           ฉันยืนกอดอกมองภาพแมวที่กำลังกินอาหารที่ฉันหามาให้อย่างมีความสุข เพิ่งได้รู้กับตัวเองว่าการไล่แมวกับการให้อาหารแมวนั้นมันให้ความสุขทางใจที่แตกต่างกันมากกขนาดนี้เอง

           ต่อจากนี้ไปฉันจะมีความสุข...

 

           .........................................................................................................

 

           ฉันชอบงานที่ฉันทำ  เพราะมันให้โอกาสฉันได้แสดงฝีมือทำงานเพื่อส่วนรวมและมีรายได้มาเลี้ยงตัวเอง งานทั้งหลายนั้นดูช่างท้าทายฉันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

           ฉันชอบเจ้านาย   เพราะเขาให้โอกาสฉันคิดและตัดสินใจลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองโดยพยายามตักเตือนแนะนำเมื่อฉันทำงานผิดพลาด

           ฉันชอบเช้าวันจันทร์   เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งสัปดาห์นี้จะต้องดีกว่าสัปดาห์ที่แล้ว

           ฉันชอบเช้าวันอังคาร   เพราะเป็นวันที่ฉันเพิ่งทำงานไปได้วันเดียว ยังมีอีกหลายวันที่สนุกสนานรออยู่ เพื่อนที่ทำงานยังรอฉันอยู่

           ฉันชอบเช้าวันพุธ   เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมความล้าเล็กน้อยและพบว่าเวลาผ่านไปครึ่งทางแล้ว ฉันจะรีบทำงานในเวลาที่เหลือให้ดีที่สุด อีกไม่นานฉันจะได้พักผ่อนวันหยุดแล้ว

           ฉันชอบเช้าวันพฤหัสบดี  เพราะเป็นวันที่ฉันเห็นความคืบหน้าของงานในสัปดาห์นี้มากมาย หากฉันไม่จัดการงานพวกนี้ บริษัทและทุกคนในบริษัทคงลำบากมากฉันรู้ว่าฉันมีส่วนร่วมในการผลักดันบริษัทของฉัน

           ฉันชอบเช้าวันศุกร์   เพราะฉันจะให้กำลังใจตัวเองว่านี่คือวันทำงานวันสุดท้ายแล้วฉันจะจัดการทุกสิ่งไม่ให้คั่งค้างเพื่อให้พรุ่งนี้และมะรืนนี้เป็นวันหยุดที่แสนสบาย

           ฉันชอบเช้าวันเสาร์   เพราะฉันจะตื่นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กบ้านใกล้ๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ฟังดูสดชื่นมีชีวิตชีวา จากนั้นฉันจะเริ่มทำความสะอาดบ้านและมองดูบ้านที่สะอาดขึ้นทีละน้อยอย่างภูมิใจ

           ฉันชอบเช้าวันอาทิตย์   เพราะฉันจะตื่อนแต่เช้าเช่นกันเพื่อเตรียมหุงหาอาหารใส่บาตรพระที่ผ่านมาหน้าหมู่บ้าน จากนั้นฉันจะไปซื้อของและกลับมาพักผ่อนที่บ้าน รอคอยสัปดาห์ใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น

           ฉันชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์   เพราะมันทำให้ฉันมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองและครอบครัวมากขึ้น

           ฉันชอบรถติด   เพราะมันทำให้ฉันเพลิดเพลินกับรอบข้างตัวและเหม่อมองสิ่งต่างๆรอบตัวนานขึ้น

           ฉันชอบรถเมล์   เพราะฉันมองเห็นคนมากมายที่กำลังร่วมทางกันอยู่บนรถคันเดียวกัน แต่ละวันที่ได้พบกับผู้คนบนรถเมล์ฉันมักจะได้แง่คิดดีๆ จากการเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกันอยู่เสมอ

           ฉันชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่   เพราะมันดูกะทัดรัดดูแลทำความสะอาดได้ง่าย มีเพื่อนบ้านมากมายคอยช่วยเป็นหูเป็นตาให้

           ฉันชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด   เพราะมันห่างไกลจากความวุ่นวายในเมืองหลวง และฉันมักจะกลับไปพักผ่อนเติมพลังอยู่เสมอเมื่อเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตในเมือง

           ฉันชอบนิยายน้ำเน่า   เพราะมันทำให้ฉันผ่อนคลายและได้ล่องลอยไปในโลกความฝันบ้างหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

           ฉันชอบหน้าร้อน   เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกถึงชีวิตชีวารอบข้าง เสียงแมลงต่างพากันร้อง นกต่างพากันบินออกหากิน ดอกไม้เบ่งบาน

           ฉันชอบหน้าฝน   เพราะมันช่างดูอบอุ่นชุ่มเย็น การเฝ้ามองต้นไม้เขียวขจีต้องลมฝนจากใต้ชายคาบ้านฉันเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ

           ฉันชอบหน้าหนาว   เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเย็นสบาย ได้หยิบเสื้อหนาวสวยๆในตู้ออกมาใส่จะเดินออกไปไหนมาไหนก็กระชุ่มกระชวย นอนหลับก็สบายไม่ต้องเปิดพัดลม

           ฉันชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา   เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง หากฉันทำงานของฉันจนประสบความสำเร็จฉันจะกลายเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยของฉันจะเป็นที่ยอมรับของทุกคน

           ฉันชอบกรุงเทพ   เพราะที่นี่มีผู้คนมากมาย และมีบทเรียนใหม่ๆ ที่จะคอยสอนใจฉันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เหมือนกับที่มันเคยสอนฉันให้มองโลกอย่างมีความสุขมาแล้ว

           ฉันมีความสุข...

           ความสุขอยู่ในทุกหนแห่งและอยู่ที่ตัวฉันเอง...อยู่ที่ฉันจะตั้งใจมองหามันในทุกสิ่งรอบข้างเองหรือไม่เท่านั้น...

 

 

การ์ตูน ขายหัวเราะ

ฉบับประจำวันพุธที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2550

          

 

 

IBM C505

Rating:★★★
Category:Computers & Electronics
Product Type: Computers
Manufacturer:  my palm
เพื่อนยาก ใช้มาก็หลายปี ยังดีกันอยู่

ซื้อมาหมื่นถ้วน ราคาตอนนี้ ไม่ถึงพันแหะๆ

เป็นปาล์ม จอสีรุ่นแรก ก้อปปี้แบบมาจาก m505 มาแปะโลโก้ IBM c505


ส่วนนี่แหล่งโปรแกรมปาล์ม http://www.freewarepalm.com/

โปรแกรมหาตำแหน่งดาว Stellarium


http://www.stellarium.org/
โปรแกรมดูดาว แผนที่ดาวครับ

เผื่อใครอยากจะลองส่องดาวเสาร์ ดาวพฤหัสบ้าง

วันจันทร์, มิถุนายน 11, 2550

เมื่อผมกินมัง

อะอะ อย่าคิดว่ากินเป็นกาละมังละ  เคยบ้างแต่ไม่บ่อย เหอๆ


สามสี่ปีก่อน ผมเคยเป็นชนชาวมังสวิรัติ  สไตร์ มังเขี่ย

คือไม่เคร่งมาก ร่วมจานกันได้ เขี่ยๆออกไ้ป  กินไข่ได้ ซดแกงได้ และกินเบียร์ได้ อิอิ

เหตุผลที่กินนะรึ เพราะไปอ่านบทความที่แนบมาด้วยนี้ อ่านแล้วอิน อ่านจบก็เลยปฏิบัติ

กินอยู่ ปีกว่าๆ เกือบสองปี ผลค้างเคียงคือคอเรสเตอรอลลดลง ความอ้วนไม่ลง อิอิ

หลังจากนั้นก็เริ่มผ่อนๆลง กินบ้างไม่กินบ้าง แต่ที่แน่ๆคือถ้าเลือกได้ ก็จะไม่กิน

เอกสารทั้งสี่ชิ้นก็แนบมาให้แล้ว เผื่อใครสนใจ อยากได้แรงกระตุ้นก็เปิดอ่านดูได้นะครับ

วันพุธ, มิถุนายน 06, 2550